วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554
รู้จัก "พระยาสุริยานุวัตร" เสนาบดีผู้เขียน "หนังสือต้องห้าม" และนักการทูตผู้ปฏิเสธสินบนจากรัสเซีย

หนังสือ"ทรัพย์ศาสตร์"

พระยาสุริยานุวัตร(เกิด บุนนาค)


รศ.ฉลอง สุนทราวาณิชย์
"พระยาสุริยานุวัตรกับรัชกาลที่ 5 " เป็นชื่อการสัมมนาที่นำโดย รศ. ฉลอง สุนทราวาณิชย์ อดีตหัวหน้าภาควิชาประวัติศาสตร์ จุฬาฯ และ "ไพร่สอนหนังสืออิสระ" ดังที่เจ้าตัวเรียกตัวเอง และเป็นหนึ่งในซีรี่ส์สัมมนา "ประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 5 : มุมมองและข้อเสนอใหม่" ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่ผ่านมา
อาจารย์ฉลอง กล่าวถึงความสำคัญและคุณูปการของพระยาสุริยานุวัตร (เกิด บุนนาค) ทั้งการเป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลไปประชุมสันติภาพนานาชาติที่กรุงเฮก เมื่อค.ศ. 1899 และความซื่อสัตย์สุจริตของท่าน ที่ปฏิเสธไม่รับเงินสินบนของรัสเซียในช่วงสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น รวมทั้ง บทบาทในฐานะนักเศรษฐศาสตร์คนแรกของประเทศ และผู้ประพันธ์หนังสือ "ทรัพย์ศาสตร์" ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกๆที่ถูกเซ็นเซอร์ โดยทางราชการได้ขอร้องไม่ให้ผู้พิมพ์นำหนังสือทรัพย์ศาสตร์ออกไปเผยแพร่ รวมทั้งได้ออกกฎหมายห้ามสอนลัทธิเศรษฐกิจ โดยถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดอาญา และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเขียนตำรา หรือศึกษาวิชาเศรษฐศาสตร์โดยเปิดเผยอีกเป็นเวลาเกือบ 20 ปี
แต่ในปัจจุบัน หนังสือทรัพย์ศาสตร์ กลายเป็นหนังสือที่ได้รับคัดเลือกว่าเป็นหนึ่งใน 100 เล่มหนังสือดีที่คนไทยควรอ่าน ด้วยเหตุผลว่า "เป็นหนังสือที่นอกจากจะให้ความรู้เรื่องหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว ยังให้ความรู้ด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยและทัศนะที่คนไทยยุคก่อนมองปัญหา เศรษฐกิจไทย รวมทั้งถือเป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของคนไทย" ทั้งยังถูกนำมาใช้เป็นเอกสารประกอบการสอนในระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัย วิชาธรรมศาสตร์และการเมือง หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
โดยหนังสือทรัพย์ศาสตร์ "มีลักษณะนำเสนอแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์และอธิบายถึงระบบเศรษฐกิจในประเทศตะวัน ตกในสมัยนั้น ขณะเดียวกันก็นำเอาแนวคิดและกลไกระบบเศรษฐกิจแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับ สังคมไทย โดยไม่ลืมรากฐานที่สังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวนายากจน ท่านเขียนตำรานี้โดยมุ่งหวังที่จะเห็นประเทศไทยพัฒนาไปสู่ประเทศที่มั่งคั่ง เข้มแข็ง เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเอง และมีความเป็นธรรมในสังคม" ตามที่วารสารเศรษฐกิจและสังคมได้ให้ข้อมูลไว้
นอกจากนี้ พระยาสุริยานุวัตรยังเป็นสามัญชนคนแรกที่ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลัง มหาสมบัติและลงนามในธนบัตร มีผลงานในการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตราให้ใช้สตางค์แทนอัฐ และเปลี่ยนระบบการเงินของไทยจากมาตรฐานเงินตรามาเป็นมาตรฐาน "ทองคำ"
รศ. ฉลอง กล่าวในการสัมมนาในครั้งนี้ว่า ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 อันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สยามต้องเผชิญกับวิกฤติทั้งภายในและภายนอกนั้น ความ สำเร็จทางประวัติศาสตร์ไม่ได้มาจากคุณูปการของรัชกาลที่ 5 เพียงพระองค์เดียว แต่ความสำเร็จดังกล่าวยังได้มาด้วยบุคคลที่รายล้อมพระองค์ และหนึ่งในนั้นคือ พระยาสุริยานุวัตร อันต้องทำให้เรากลับมาประเมินประวัติศาสตร์สมัยรัชกาลที่ 5 กันใหม่
อาจารย์ฉลอง กล่าวถึงคุณูปการของพระยาสุริยานุวัตร ทั้งบทบาทการเป็นหัวหน้าผู้แทนรัฐบาลในการประชุมสันติภาพนานาชาติที่กรุงเฮก อันนำไปสู่การจัดตั้งศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ และนำมาสู่การจัดตั้ง "ศาลโลก" ในเวลาต่อมา และได้ เล่าถึงความซื่อสัตย์สุจริตของพระยาสุริยานุวัตร ที่ปฏิเสธไม่รับเงินสินบน 2 ล้านฟรังค์เพื่อให้ความช่วยเหลือรัสเซียในเรื่องการซื้ออาวุธสงคราม ซึ่งทำให้ไทยไม่ถูก "รุมกินโต๊ะ" จากบรรดาชาติมหาอำนาจในขณะนั้น
โดยรศ.ฉลองกล่าวถึงเหตุผลที่รัสเซียตัดสินใจเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัด "การประชุมสันติภาพนานาชาติ ณ กรุงเฮก" เมื่อปี ค.ศ. 1899 ว่า เนื่องจากรัสเซียไม่มีเงินพัฒนาเทคโนโลยีอาวุธสงครามและสำหรับรัสเซียแล้ว "ไม่มีประโยชน์ที่รัสเซียจะพัฒนาอาวุธสงคราม เพราะสงครามเป็นอะไรที่สิ้นเปลืองและไร้สาระ" แต่ในสงครามระหว่างรัสเซีย-ญุี่ปุ่น รัสเซียกลับต้องการละเมิดสัญญาความเป็นกลางในการประชุมสันติภาพนานาชาติเสีย เอง และพยายามล็อบบี้ให้สยามช่วยซื้ออาวุธให้ในนามของรัฐบาลสยาม
นอกจากนี้ รศ.ฉลองยังกล่าวถึงการประชุมสันติภาพนานาชาติที่กรุงเฮก ว่ามีความสำคัญในการรับรองความเป็นอธิปไตยที่สมบูรณ์ของรัฐไทย ซึ่งในทุกวันนี้ คำว่า "อธิปไตย" กำลังลดความสำคัญลง อันเป็นผลสืบเนี่องมาจากกระแสโลกาภิวัฒน์ เราจะเห็นความลางเลือนของคำว่าอธิปไตยได้จากตัวอย่างการรวมกลุ่มประเทศยุโรป (EU), ประชาคมอาเซียนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต หรือการทำ FTA ในหลายๆประเทศ ทั้งนี้ รศ.ฉลองเน้นย้ำว่า ความสำคัญของอธิปไตยที่กำลังลดความสำคัญลงนั้น ได้เกิดขึ้นใน "บางพื้นที่ของโลก" เท่านั้น
ไม่ว่าอาจารย์ฉลองจะต้องการพาดพิงไปถึงสงครามแย่งชิงเขตแดนไทย-กัมพูชาใน ขณะนี้หรือไม่ก็ตาม การสัมมนาในครั้งนี้ได้ทำให้ผู้ร่วมสัมมนาตระหนักถึงข้อเท็จจริงที่ว่า "การทำสงครามเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่แพงเอามากๆ" และเนื่องในโอกาสวันเกิดครบรอบ 100 ปีหนังสือ "ทรัพย์ศาสตร์" ของพระยาสุริยานุวัตร ผู้มีบทบาทสำคัญในการยับยั้งสงครามนี้ในประวัติศาสตร์สยามนี้ คงเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย ที่เราจะได้ตระหนักถึงบุคคลดังกล่าวและอุดมการณ์ที่ท่านยึดถือ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วงเสวนาสับ"รับน้อง"เละ "คำ ผกา"จี้เด็กปี1ถามรุ่นพี่มีอะไรให้นับถือ "อ.พิชญ์"ชี้ยอม1ปีกำไรทั้งชีวิต
วงเสวนาสับ"รับน้อง"เละ "คำ ผกา"จี้เด็กปี1ถามรุ่นพี่มีอะไรให้นับถือ "อ.พิชญ์"ชี้ยอม1ปีกำไรทั้งชีวิต
วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:10:33
มติชนออนไลน์
อ.ศิลปศาสตร์ มธ. เผยที่มา"รับน้อง"จากอำนาจจักรวรรดิ์นิยม
อ.วัน รัก กล่าวถึงความเป็นมาของระบบรับน้องหรือโซตัส(SOTUS) ว่า ย่อมาจากคำว่า Seniority ความเป็นอาวุโส, Order คือระเบียบ, Tradition มาจากประเพณี, Unity คือ ความเป็นกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว และ Spirit เราถูกรุ่นพี่บอกว่ารักกัน เราเลยรักสถาบัน ซึ่งระบบ นี้เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 รับมาจากโรงเรียนกินนอนในประเทศอังกฤษ ในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชบายปฏฺิรูปการบริหารแผ่นดิน เพื่อการผลิตข้าราชการและพลเมืองไปปกครองเมืองต่างๆ และรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือสยาม
ส่วนหนึ่งเริ่มจากในปี พ.ศ.2440 โรงเรียนมหาดเล็ก ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นจุฬาฯ ได้ตั้งนักเรียนอาวุโสเป็นดรุณาณัติ(หัวหน้านักเรียน) หรือพรีเฟ็ค (ในนวนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์) ทำหน้าที่ช่วยครูในการดูแลนักเรียน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งมาจากฟิลิปปินส์ เมื่อครั้งที่ครูถูกส่งไปเรียนที่นู่นก่อนมา และนำการสอนนักเรียนในโรงเรียนเตรียมนักศึกษาที่แม่โจ้ และเป็นนักศึกษาในมหาวิทลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯ มาถึง 50 ปี
"หยิบ ยืมองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาจากมหาอำนาจจักรวรรดิ์นิยม ทั้งอังกฤษ และอเมริกา แม้จะต่างกรรมต่างวาระ ที่ยืนอยู่บนกรอบคิดเดียวกัน คือกรอบคิดแบบเจ้าผู้ปกครองนิคมนั่นเอง" อ.วันรัก กล่าว
"เมื่อ คุณเข้ามามหาวิทยาลัยแล้ว มีกลุ่มคนที่หวังดีต้องการรับน้อง แต่ในนามของเจตนาดีบางอย่าง ไม่ต่างกับเจตนาดีของพ่อแม่ ที่บอกว่าเธอต้องเลือกเรียนอันนี้เพราะมันดีกับเธอ เจตนาดีบางทีอาจไม่สนองกับสิ่งที่อีกคนต้องการในช่วงเวลา ที่ต้องการหาความหมายชีวิต ช่วงเวลาของการเป็นตัวของตัวเอง ช่วงเวลาที่ฉันอยากจะแตกต่าง"
"อ.พิชญ์"บอกคุ้ม ลงทุนปีเดียวได้กำไรทั้งชีวิต
ด้าน อ.พิชญ์ กล่าวว่า ระบบโซตัสกลับมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังพ.ศ. 2540-2541 ซึ่งมีเหตุผลในทางเศรษฐกิจรองรับ คนที่รับรู้และสืบสานประเพณีเหล่านี้ คำนวณแล้วว่าโคตรจะคุ้ม ระบบนี้จึงดำรงอยู่ ระบบอุปถัมภ์จึงเป็นการคาดคำนวณแล้ว
"คุ้ม แสนคุ้ม ลงทุน1ได้3 คุณยอมรุ่นพี่1ปี แต่คุณได้คืน3ปี ได้รับน้อง 3 ปี หรือมากกว่านั้น เป็นการลงทุนที่แสนคุ้ม ไม่มีกองทุนอะไรที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว รุ่นพี่ก็คุ้มเพราะมีรุ่นน้อง เพราะรุ่นพี่ไม่รู้จะหาการยอมรับจากที่อื่นอย่างไร อาจารย์ก็ไม่ยอมรับ จึงต้องมีวิธีให้น้องยอมรับ" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว และว่า ยิ่งเป็นยุคทุนนิยม ประเพณีนี้ยิ่งสืบสาน เพราะการแข่งขันในตลาดแรงงานมันสูง ยิ่งมีเหตุผลที่ต้องรักกัน เช่น คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยิ่งต้องรักกัน ไม่งั้นมันไม่รอด อาจถูกย้ายกันไปอยู่ตามกรมต่างๆ
อย่าง ไรก็ตาม เห็นว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่สามารถดูแลนักศึกษได้หมดทุกคน จึงต้องปกครองแบบ "ซุ้ม" เหมือนเลี้ยงมือปืน เลี้ยงนักเลง นี่คือโครงสร้างส่วนบนที่มองไม่เห็นของระบบอุปถัมภ์
"การที่ ผู้บริหารปล่อยให้ระบบนี้อยู่ได้ เพราะไม่สามารถดูแลนักศึกษาได้ทั้งหมด จึงต้องหลับตาข้างหนึ่งเหมือนตำรวจเลี้ยงนักเลง ให้ช่วยทำเรื่องต่างๆ"
สรุป ทางออกมีอยู่ 4 ทางคือ 1.ถ้าคิดว่ามีปัญหาระบบ ก็ไปฟ้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2.ส่งเสริมกิจกรรมในเชิงจิตอาสา และจิตสาธารณะ เพื่อให้เขารับรู้ทุกข์สุขของคนรอบตัวเขามากขึ้น 3.ผู้บริหารต้องหากิจกรรมอื่นให้เด็กรุ่นพี่ทั้ง 3 ปีทำ เพื่อให้รุ่นน้องยอมรับ มากกว่าไปบังคับให้รุ่นน้องเชื่อฟัง และ 4.หากต้องการให้มีการรับน้องแบบเผด็จการ ควรเป็นระบบสมัครใจ และทำนอกพื้นที่มหาวิทยาลัย
"จะทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความหมาย จึงไม่ต้องไปบังคับให้น้องเคารพ เป็นปัญหาของอาจารย์ที่ต้องคิดให้ออก ถ้าเด็กรุ่นพี่ไปประกวดได้รางวัล และมีนิทรรศการ เขาไม่มีเวลาไปว้ากน้องหรอก น้องเคารพรุ่นพี่อยู่แล้ว เพราะพี่มีผลงาน"
"คำ ผกา"ให้น้องย้อนถามพี่มีอะไรน่านับถือ
"คำ ผกา" กล่าวว่า สมัยที่ตนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. 2532 ไม่เคยผ่านมารับน้องใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ถูกว้ากและไม่วิ่งขึ้นดอย จึงแปลกใจว่าทำไมรุ่นน้องหลายคนถึงปฏิเสธไม่ได้ เราไม่ไป ก็ไม่เห็นมึใครมาทำอะไรเราได้ รู้สึกว่าฉันไม่สนใจ ฉันไม่แคร์ ฉันไม่เอารุ่นก็ได้ ฉันเจ๋งพอที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์เหล่านั้น
"หลาย คนที่ต้องพึ่งระบบรับน้อง เพราะคุณไม่มั่นใจศักยภาพของตัวคุณ ว่าคุณสามารถเติบโตในการทำงาน สมัครงาน หรือทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพารุ่นพี่"
การนับถือรุ่นพี่จะนับถืออยู่ปี สูงกว่า อายุสูงกว่า แต่ไม่ได้ดูว่ารุ่นพี่มีผลงานอะไรให้นับถือบ้าง แล้วมีเรื่องปมด้อยและเรื่องศักดิ์ศรี เมื่อมหาวิทยาลัยใหญ่พัฒนาการว้ากให้เป็นเรื่องขำ แต่มหาวิทยาลัยเล็กๆ หรือมหาวิทยาลัยใหม่ เช่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือมหาวิทยาลัยใหม่ในเชียงใหม่ เริ่มจะเอาการรับน้องให้ขึ้นดอยตามมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมาย ถึงว่า มหาวิทยาลัยที่ไม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก็ใช้การรับน้องเพื่อสร้างความภาคภููมิใจให้สถาบัน เรียกว่าเป็น "วิกฤติทางอัตลักษณ์" มหาวิทยาลัยยิ่งเล็กการรับน้องก็จะยิ่งโหด
การ แก้ปัญหาคือ เด็กปี 1ทุกคนต้องปฏิเสธระบบนั้นด้วยตัวเอง แต่เท่าที่เคยเห็นมา เห็นเด็กปี1 ทุกคนใส่ป้ายชื่อ และมีซีเรี่ยลนัมเบอร์เหมือนสัตว์ในฟาร์ม และมีความสุขความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ จึงต้อง เปลี่ยนระบบความคิดว่า ความภาคภูมิใจในสถาบันไม่ได้อยู่ที่พิธีกรรม แต่ขึ้นอยู่กับผลงานที่แตะต้องได้เป็นรูปธรรม ว่ามหาวิทยาลัยของคุณมีรางวัลได้โนเบลกี่คน มหาวิทยาลัยมีศิษย์เก่าได้จัดนิทรรศการและเป็นที่ยอมรับในโลกกี่คนแล้ว
"ทำไม น้องไม่พูดกับรุ่นพี่แบบนี้คุณแก่กว่าเราปีเดียวคุณคิดว่าคุณเห็นโลกอะไร มากกว่าเราหนักหนา คุณจะมาสอนอะไรเรา แน่จริงมาอ่านหนังสือแข่งกัน โต้วาทีแข่งขันเอาไหม ทำไมคิดไม่ได้ คุณ แก่กว่าเรากี่ปี เราดูแลตัวเองได้ เราอาจเคยทำงานมามากกว่าคุณอีก เราอาจโลกผ่านชีวิตมามากกว่าคุณอีก เผลอๆ เคยเป็นสาวนั่งดริงก์มาแล้วด้วย กว่าจะส่งตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงทุกวันนี้ ฉันอาจเคยนอนกับผู้ชายมากกว่าคุณเคยนอนกับผู้หญิงก็ได้ อะไรแบบนี้ ช่วยมีจินตนาการว่าจะเอาอะไรไปคุยกับพวกรุ่นพี่พวกนี้บ้าง" คำ ผกา กล่าว
วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:10:33
มติชนออนไลน์
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่่ผ่านมา มี การจัดงานเสวนา "Be Young and Shut Up? พิธีกรรมการรับน้องใหม่ในสถาบันอุดมศึกษาของไทย" โดยมี อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.วันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และลักขณา ปันวิชัย" หรือ "คำ ผกา" คอลัมนิสต์ชื่อดัง ร่วมเสวนา
อ.ศิลปศาสตร์ มธ. เผยที่มา"รับน้อง"จากอำนาจจักรวรรดิ์นิยม
อ.วัน รัก กล่าวถึงความเป็นมาของระบบรับน้องหรือโซตัส(SOTUS) ว่า ย่อมาจากคำว่า Seniority ความเป็นอาวุโส, Order คือระเบียบ, Tradition มาจากประเพณี, Unity คือ ความเป็นกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว และ Spirit เราถูกรุ่นพี่บอกว่ารักกัน เราเลยรักสถาบัน ซึ่งระบบ นี้เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 รับมาจากโรงเรียนกินนอนในประเทศอังกฤษ ในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชบายปฏฺิรูปการบริหารแผ่นดิน เพื่อการผลิตข้าราชการและพลเมืองไปปกครองเมืองต่างๆ และรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือสยาม
ส่วนหนึ่งเริ่มจากในปี พ.ศ.2440 โรงเรียนมหาดเล็ก ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นจุฬาฯ ได้ตั้งนักเรียนอาวุโสเป็นดรุณาณัติ(หัวหน้านักเรียน) หรือพรีเฟ็ค (ในนวนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์) ทำหน้าที่ช่วยครูในการดูแลนักเรียน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งมาจากฟิลิปปินส์ เมื่อครั้งที่ครูถูกส่งไปเรียนที่นู่นก่อนมา และนำการสอนนักเรียนในโรงเรียนเตรียมนักศึกษาที่แม่โจ้ และเป็นนักศึกษาในมหาวิทลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯ มาถึง 50 ปี
"หยิบ ยืมองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาจากมหาอำนาจจักรวรรดิ์นิยม ทั้งอังกฤษ และอเมริกา แม้จะต่างกรรมต่างวาระ ที่ยืนอยู่บนกรอบคิดเดียวกัน คือกรอบคิดแบบเจ้าผู้ปกครองนิคมนั่นเอง" อ.วันรัก กล่าว
"เมื่อ คุณเข้ามามหาวิทยาลัยแล้ว มีกลุ่มคนที่หวังดีต้องการรับน้อง แต่ในนามของเจตนาดีบางอย่าง ไม่ต่างกับเจตนาดีของพ่อแม่ ที่บอกว่าเธอต้องเลือกเรียนอันนี้เพราะมันดีกับเธอ เจตนาดีบางทีอาจไม่สนองกับสิ่งที่อีกคนต้องการในช่วงเวลา ที่ต้องการหาความหมายชีวิต ช่วงเวลาของการเป็นตัวของตัวเอง ช่วงเวลาที่ฉันอยากจะแตกต่าง"
"อ.พิชญ์"บอกคุ้ม ลงทุนปีเดียวได้กำไรทั้งชีวิต
ด้าน อ.พิชญ์ กล่าวว่า ระบบโซตัสกลับมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังพ.ศ. 2540-2541 ซึ่งมีเหตุผลในทางเศรษฐกิจรองรับ คนที่รับรู้และสืบสานประเพณีเหล่านี้ คำนวณแล้วว่าโคตรจะคุ้ม ระบบนี้จึงดำรงอยู่ ระบบอุปถัมภ์จึงเป็นการคาดคำนวณแล้ว
"คุ้ม แสนคุ้ม ลงทุน1ได้3 คุณยอมรุ่นพี่1ปี แต่คุณได้คืน3ปี ได้รับน้อง 3 ปี หรือมากกว่านั้น เป็นการลงทุนที่แสนคุ้ม ไม่มีกองทุนอะไรที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว รุ่นพี่ก็คุ้มเพราะมีรุ่นน้อง เพราะรุ่นพี่ไม่รู้จะหาการยอมรับจากที่อื่นอย่างไร อาจารย์ก็ไม่ยอมรับ จึงต้องมีวิธีให้น้องยอมรับ" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว และว่า ยิ่งเป็นยุคทุนนิยม ประเพณีนี้ยิ่งสืบสาน เพราะการแข่งขันในตลาดแรงงานมันสูง ยิ่งมีเหตุผลที่ต้องรักกัน เช่น คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยิ่งต้องรักกัน ไม่งั้นมันไม่รอด อาจถูกย้ายกันไปอยู่ตามกรมต่างๆ
อย่าง ไรก็ตาม เห็นว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่สามารถดูแลนักศึกษได้หมดทุกคน จึงต้องปกครองแบบ "ซุ้ม" เหมือนเลี้ยงมือปืน เลี้ยงนักเลง นี่คือโครงสร้างส่วนบนที่มองไม่เห็นของระบบอุปถัมภ์
"การที่ ผู้บริหารปล่อยให้ระบบนี้อยู่ได้ เพราะไม่สามารถดูแลนักศึกษาได้ทั้งหมด จึงต้องหลับตาข้างหนึ่งเหมือนตำรวจเลี้ยงนักเลง ให้ช่วยทำเรื่องต่างๆ"
สรุป ทางออกมีอยู่ 4 ทางคือ 1.ถ้าคิดว่ามีปัญหาระบบ ก็ไปฟ้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2.ส่งเสริมกิจกรรมในเชิงจิตอาสา และจิตสาธารณะ เพื่อให้เขารับรู้ทุกข์สุขของคนรอบตัวเขามากขึ้น 3.ผู้บริหารต้องหากิจกรรมอื่นให้เด็กรุ่นพี่ทั้ง 3 ปีทำ เพื่อให้รุ่นน้องยอมรับ มากกว่าไปบังคับให้รุ่นน้องเชื่อฟัง และ 4.หากต้องการให้มีการรับน้องแบบเผด็จการ ควรเป็นระบบสมัครใจ และทำนอกพื้นที่มหาวิทยาลัย
"จะทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความหมาย จึงไม่ต้องไปบังคับให้น้องเคารพ เป็นปัญหาของอาจารย์ที่ต้องคิดให้ออก ถ้าเด็กรุ่นพี่ไปประกวดได้รางวัล และมีนิทรรศการ เขาไม่มีเวลาไปว้ากน้องหรอก น้องเคารพรุ่นพี่อยู่แล้ว เพราะพี่มีผลงาน"
"คำ ผกา"ให้น้องย้อนถามพี่มีอะไรน่านับถือ
"คำ ผกา" กล่าวว่า สมัยที่ตนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. 2532 ไม่เคยผ่านมารับน้องใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ถูกว้ากและไม่วิ่งขึ้นดอย จึงแปลกใจว่าทำไมรุ่นน้องหลายคนถึงปฏิเสธไม่ได้ เราไม่ไป ก็ไม่เห็นมึใครมาทำอะไรเราได้ รู้สึกว่าฉันไม่สนใจ ฉันไม่แคร์ ฉันไม่เอารุ่นก็ได้ ฉันเจ๋งพอที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์เหล่านั้น
"หลาย คนที่ต้องพึ่งระบบรับน้อง เพราะคุณไม่มั่นใจศักยภาพของตัวคุณ ว่าคุณสามารถเติบโตในการทำงาน สมัครงาน หรือทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพารุ่นพี่"
การนับถือรุ่นพี่จะนับถืออยู่ปี สูงกว่า อายุสูงกว่า แต่ไม่ได้ดูว่ารุ่นพี่มีผลงานอะไรให้นับถือบ้าง แล้วมีเรื่องปมด้อยและเรื่องศักดิ์ศรี เมื่อมหาวิทยาลัยใหญ่พัฒนาการว้ากให้เป็นเรื่องขำ แต่มหาวิทยาลัยเล็กๆ หรือมหาวิทยาลัยใหม่ เช่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือมหาวิทยาลัยใหม่ในเชียงใหม่ เริ่มจะเอาการรับน้องให้ขึ้นดอยตามมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมาย ถึงว่า มหาวิทยาลัยที่ไม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก็ใช้การรับน้องเพื่อสร้างความภาคภููมิใจให้สถาบัน เรียกว่าเป็น "วิกฤติทางอัตลักษณ์" มหาวิทยาลัยยิ่งเล็กการรับน้องก็จะยิ่งโหด
การ แก้ปัญหาคือ เด็กปี 1ทุกคนต้องปฏิเสธระบบนั้นด้วยตัวเอง แต่เท่าที่เคยเห็นมา เห็นเด็กปี1 ทุกคนใส่ป้ายชื่อ และมีซีเรี่ยลนัมเบอร์เหมือนสัตว์ในฟาร์ม และมีความสุขความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ จึงต้อง เปลี่ยนระบบความคิดว่า ความภาคภูมิใจในสถาบันไม่ได้อยู่ที่พิธีกรรม แต่ขึ้นอยู่กับผลงานที่แตะต้องได้เป็นรูปธรรม ว่ามหาวิทยาลัยของคุณมีรางวัลได้โนเบลกี่คน มหาวิทยาลัยมีศิษย์เก่าได้จัดนิทรรศการและเป็นที่ยอมรับในโลกกี่คนแล้ว
"ทำไม น้องไม่พูดกับรุ่นพี่แบบนี้คุณแก่กว่าเราปีเดียวคุณคิดว่าคุณเห็นโลกอะไร มากกว่าเราหนักหนา คุณจะมาสอนอะไรเรา แน่จริงมาอ่านหนังสือแข่งกัน โต้วาทีแข่งขันเอาไหม ทำไมคิดไม่ได้ คุณ แก่กว่าเรากี่ปี เราดูแลตัวเองได้ เราอาจเคยทำงานมามากกว่าคุณอีก เราอาจโลกผ่านชีวิตมามากกว่าคุณอีก เผลอๆ เคยเป็นสาวนั่งดริงก์มาแล้วด้วย กว่าจะส่งตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงทุกวันนี้ ฉันอาจเคยนอนกับผู้ชายมากกว่าคุณเคยนอนกับผู้หญิงก็ได้ อะไรแบบนี้ ช่วยมีจินตนาการว่าจะเอาอะไรไปคุยกับพวกรุ่นพี่พวกนี้บ้าง" คำ ผกา กล่าว
โซตัส เมล็ดพันธุ์อุดมการณ์อำนาจนิยม ที่ตกค้างในสังคมไทย
โดย วันรัก สุวรรณวัฒนา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
"พวกคุณ ท้าทายอำนาจ ประธานเชียร์"
"ทำลายเจตนารมณ์ ของพวกผมที่ สืบทอดมาเป็นรุ่น
พวกคุณไม่ ภูมิใจในสถาบัน ใช่ไหมครับ จึงทำอย่างนี้ ไปเรียนที่อื่น ก็ยังทันนะครับ"
"ถ่ายรูปบันทึกหน้าตาให้ผมหน่อย จะได้ ออกนอกระบบ แบบเบาๆ เหมือน Singular"
"มิน่าล่ะครับ รุ่นน้อง มันถึงไม่ฟัง รุ่นพี่"
"Staff ทุกคนมี ความจิตอาสา"
เหล่า นี้คือประโยคที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของนิสิต "รุ่นพี่" ซึ่งเป็นประธานเชียร์ในงานรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อประณามนิสิตกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรม "ห้องเชียร์" และได้พยายามขึ้นเวทีแสดงป้ายประท้วงและขออ่านแถลงการณ์ที่พวกตนเตรียมมา จนถูกกลุ่มผู้จัดงานโห่ไล่ให้ออกไปจากสถานที่จัดงาน
วิดีโอ นี้ได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์และเว็บบอร์ ดต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไทได้ลงสัมภาษณ์หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนิสิตที่ดำเนินกิจกรรมคัด ค้านห้องเชียร์ และมติชนออนไลน์ได้เผยแพร่ "จดหมายเปิดผนึกถึงประชาคมมหาวิทยาลัยมหาสารคามและสังคมไทย เรียกร้องปฏิรูประบบรับน้อง/ห้องเชียร์" ซึ่งมีอาจารย์ นิสิตนักศึกษา นักเคลื่อนไหวทางสังคม ตลอดจนประชาชนทั่วไปร่วมลงชื่อมากกว่า 200 คน และยังคงมีผู้ทยอยลงชื่อสนับสนุนจดหมายนี้อย่างต่อเนื่องใน Event ซึ่งถูกสร้างขึ้นในเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook
จากระบอบการปกครองแบบเจ้าอาณานิคม สู่เผด็จการห้องเชียร์ : เส้นทางประวัติศาสตร์ของ "อุดมการณ์โซตัส"ระบบ โซตัส (SOTUS) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายสถาบันการศึกษาในปัจจุบันนั้น สันนิษฐานว่าเริ่มต้นขึ้นจากการนำระบบอาวุโสของโรงเรียนกินนอนในประเทศ อังกฤษ (Fagging system) เข้ามาใช้ในโรงเรียนมหาดเล็กตั้งแต่ประมาณทศวรรษ 2440 ซึ่งเป็นระบบที่มีการแต่งตั้งดรุณาณัติ (Fag-master หรือ Prefect) จากนักเรียนอาวุโสผู้เรียนดีและประพฤติดี เพื่อทำหน้าที่ช่วยครูในการอบรมสั่งสอนและดูแลคณะนักเรียน โรงเรียนมหาดเล็กซึ่งพัฒนามาจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่าย พลเรือนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินของ รัชกาลที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์แรกเริ่มเพื่อผลิตข้าราชการสำหรับกิจการปกครองท้องถิ่น
ใน แง่นี้ อาจกล่าวได้ว่า โรงเรียนมหาดเล็กคือกลไกสำคัญในการทำให้โครงสร้างการรวมศูนย์อำนาจเพื่อ "ปกครอง" และ "ควบคุม" เมืองขึ้นแข็งแกร่งขึ้น ในช่วงเวลาที่สยามยังไม่ได้เป็นรัฐชาติเฉกเช่นที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
ครั้น ต่อมา เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้สานต่อระบบอาวุโส ผนวกกับแนวคิดเรื่องระเบียบ ประเพณี สามัคคีและน้ำใจ จนคำว่า โซตัส (SOTUS) กลายเป็นคำขวัญทั้ง 5 ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเป็นปณิธานในการอบรมสั่งสอนของผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ ไม่ปรากฏการใช้ความรุนแรงใดๆ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าระบบโซตัสในระยะแรกมีลักษณะของความเป็น "อุดมคติ" คือเป็นจินตนาการร่วมของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ข้าราชการพลเรือน (ซึ่งต้องออกไป "ปกครอง" ท้องถิ่นแดนไกลอันป่าเถื่อนล้าหลังในนามของราชการไทย) ต้องไปให้ถึง ซึ่งสอดรับเป็นอย่างดีกับบริบททางการเมืองของการผนวกรวมชาติและการสร้าง มาตรฐานเดียวให้กับคุณค่าต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องเป็นมาตรฐานของ "ส่วนกลาง" เท่านั้น
ต่อ มา ระบบโซตัสในรูปแบบที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งหมายถึงการผนวกรวมกิจกรรมการว้ากและการลงทัณฑ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งนั้น ประเทศไทยรับมาในช่วงสงครามเย็นหรือประมาณทศวรรษ 2480 โดยได้มีการส่งนักศึกษาไปเรียนระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยโอเรกอนและมหาวิทยาลัยคอร์แนล) และในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แห่งชาติ ณ เมืองลอสแบนยอส ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งในขณะนั้น ฟิลิปปินส์ถูกยึดครองโดยอเมริกามาเกือบครึ่งศตวรรษก่อนหน้า "ผู้ปกครอง" ได้ถ่ายทอดรูปแบบเทคโนโลยีและรูปแบบการเรียนการสอนให้กับ "ผู้ถูกปกครอง" จึงทำให้ แนวคิดและระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้เป็นไปในแบบอเมริกัน
เมื่อ จบกลับมา นักศึกษาของไทยก็ได้นำเอาระบบการว้าก (การกดดันทางจิตวิทยา) และการลงโทษ (การทรมานทางร่างกาย) มาใช้กับมหาวิทยาลัยไทย โดยเริ่มจากโรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้ เชียงใหม่ ซึ่งผลิตนักเรียนเพื่อเข้าเป็นนิสิตของวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นไป ได้ว่าในช่วงเวลานี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้นำคำว่า "โซตัส" ซึ่งเป็นคำขวัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาปรับใช้เรียกระบบการรับน้อง "นำเข้า" รูปแบบใหม่นี้
จากมุมมองทางประวัติศาสตร์นี้ ระบบ โซตัส ถือเป็น "ประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม" ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากการหยิบยืม "องค์ความรู้" และ "เทคโนโลยี" สมัยใหม่มาจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยมทั้งอังกฤษและอเมริกัน แม้จะต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็อิงอยู่บนฐานกรอบคิดเดียวกัน กล่าวคือ กรอบคิดแบบเจ้าผู้ปกครองอาณานิคม ซึ่งมีรูปแบบที่เข้มข้นรุนแรงเพื่อกำราบ "เมืองขึ้น" ให้สยบยอม โดยในทางเนื้อหานั้น การเข้าไปรุกรานและควบคุม จำต้องนำรูปแบบการปกครองแบบทหารเข้ามาใช้ โดยผ่านกลไกของระบบการศึกษาของพลเรือน
นอกจากนี้ หากพิจารณาบริบททางการเมืองของไทยในยุคที่โซตัสลงหลักปักฐานอย่างจริงจังในมหาวิทยาลัยไทยนั้น เรากำลังอยู่ในยุค "รัฐนิยม" ที่มาพร้อมกับการปลูกฝังลัทธิชาตินิยมให้แก่เยาวชนและราษฎรไทย จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากแนวคิดและรูปแบบของการปกครองนี้จะถูกหยิบมาใช้ใน สถาบันการศึกษาชั้นนำ โดยมีจุดประสงค์เชิงอุดมการณ์ เพื่อสร้างราษฎรที่มีคุณภาพ (ตามอุดมคติของรัฐ) เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ เพราะในลัทธิชาตินิยม ไม่มีพื้นที่ให้กับความเป็นปัจเจกและความเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเป็น ของตน จะมีก็เพียงแต่สำหรับราษฎรที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามหน้าที่ของตน (ตามที่รัฐบอก) อย่างเชื่องๆ
ต่อมาในทศวรรษ 2510 เมื่อกระแสสำนึกประชาธิปไตยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อต้านอำนาจ เผด็จการทหารโดยเฉพาะในหมู่นิสิตนักศึกษา ประเพณีและวิถีปฏิบัติจารีตนิยมหลายอย่างได้ถูกตั้งคำถามในฐานะฟันเฟือง สำคัญทางวัฒนธรรม ซึ่งผู้นำเผด็จการและเครือข่ายอุปถัมภ์นำมาใช้ครอบงำความคิดในระดับจิตใต้ สำนึกของประชาชนอย่างแนบเนียน
ระบบโซตัส ภายใต้ชื่อเรียกว่า "การรับน้อง" และ "ห้องประชุมเชียร์" จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกตั้งคำถามในฐานะหัวขบวนแห่งกระบวนการปลูก ฝังกล่อมเกลาปัญญาชนคนหนุ่มสาวให้อยู่ในสภาพเกียจคร้านทางปัญญาและสภาพชินชา ทางการเมือง
ในยุคนี้ เรามีตัวอย่างมากมายของ "คนรุ่นใหม่" ซึ่งออกมาเรียกร้องให้มีการเปิดประเด็นถกเถียงเรื่อง "วัฒนธรรมการรับน้อง" ดังกรณีของกลุ่มวลัญชทัศน์แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้ส่งตัวแทนชิงตำแหน่งประธานชมรมเชียร์ โดยมีนโยบายสำคัญคือการ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเชียร์ ซึ่งก็ได้รับชัยชนะ และสิ่งแรกที่ทำคือการแจกบทกวี "ฉันจึงมาหาความหมาย" ของ วิทยากร เชียงกูล ให้แก่นักศึกษาใหม่ในห้องเชียร์
แต่ หลังจากความพ่ายแพ้ของขบวนการนักศึกษาหลัง 2519 ระบบโซตัสก็ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง คู่ขนานไปกับการกลับมาของการเมืองแบบจารีต ที่มีฐานมาจากระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายความสัมพันธ์ของชนชั้นปกครอง การใช้อำนาจปกครองทางการเมืองและวัฒนธรรมถูกทำให้ซับซ้อนและนุ่มนวลขึ้นด้วย เครื่องมือใหม่ที่ชนชั้นนำไทยรับมาจากระบอบจักรวรรดินิยมใหม่ในยุคหลัง สงครามเย็น ภายใต้โฉมหน้าของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ซึ่งใช้กลไกระบบตลาดในการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนในสังคมจากการกดขี่และ จากปัญหาที่แท้จริงได้อย่างเหนือชั้นยิ่งกว่าระบบใดๆ ในประวัติศาสตร์
การ ตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (แม้จะมีมาช้านานก็ตาม) จึงถูกทำให้เลือนหายไปจากสังคมไทย เฉกเช่นจิตสำนึกทางสังคมที่เจือจางไปจากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของบัณฑิต รั้วมหาวิทยาลัย
หากพิจารณาภาพรวมทางประวัติศาสตร์การเดินทางของระบบโซตัสเพื่อฝังรากในวัฒนธรรมไทยนั้น จะเห็นได้ว่าจาก "อุดมคติทางจริยธรรม" ในยุคแรกเริ่มพัฒนาสยามประเทศ ระบบโซตัสได้อวตารมาเป็น "อุดมการณ์โซตัส" อันเข้มแข็งและแข็งทื่อในยุครัฐนิยมและยุคเผด็จการทหารในตอนปลายพุทธศตวรษ ที่ 25 และตอนต้นพุทธศตวรรรษที่ 26 และได้สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองอีกครั้งหลังความพ่ายแพ้ของขบวนการนัก ศึกษาหัวก้าวหน้า
และก็เป็นรูปแบบ "เผด็จการห้องเชียร์" เดียวกันนี้เองที่ยังคงสืบต่อมาจนปัจจุบัน
ที่มา มติชนออนไลน์
"พวกคุณ ท้าทายอำนาจ ประธานเชียร์"
"ทำลายเจตนารมณ์ ของพวกผมที่ สืบทอดมาเป็นรุ่น
พวกคุณไม่ ภูมิใจในสถาบัน ใช่ไหมครับ จึงทำอย่างนี้ ไปเรียนที่อื่น ก็ยังทันนะครับ"
"ถ่ายรูปบันทึกหน้าตาให้ผมหน่อย จะได้ ออกนอกระบบ แบบเบาๆ เหมือน Singular"
"มิน่าล่ะครับ รุ่นน้อง มันถึงไม่ฟัง รุ่นพี่"
"Staff ทุกคนมี ความจิตอาสา"
เหล่า นี้คือประโยคที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของนิสิต "รุ่นพี่" ซึ่งเป็นประธานเชียร์ในงานรับน้องใหม่ของมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เพื่อประณามนิสิตกลุ่มหนึ่งซึ่งไม่เห็นด้วยกับวัฒนธรรม "ห้องเชียร์" และได้พยายามขึ้นเวทีแสดงป้ายประท้วงและขออ่านแถลงการณ์ที่พวกตนเตรียมมา จนถูกกลุ่มผู้จัดงานโห่ไล่ให้ออกไปจากสถานที่จัดงาน
วิดีโอ นี้ได้รับการเผยแพร่ในเว็บไซต์ Youtube และกลายเป็นประเด็นถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์และเว็บบอร์ ดต่างๆ ในอินเตอร์เน็ต ล่าสุด เว็บไซต์ประชาไทได้ลงสัมภาษณ์หนึ่งในสมาชิกกลุ่มนิสิตที่ดำเนินกิจกรรมคัด ค้านห้องเชียร์ และมติชนออนไลน์ได้เผยแพร่ "จดหมายเปิดผนึกถึงประชาคมมหาวิทยาลัยมหาสารคามและสังคมไทย เรียกร้องปฏิรูประบบรับน้อง/ห้องเชียร์" ซึ่งมีอาจารย์ นิสิตนักศึกษา นักเคลื่อนไหวทางสังคม ตลอดจนประชาชนทั่วไปร่วมลงชื่อมากกว่า 200 คน และยังคงมีผู้ทยอยลงชื่อสนับสนุนจดหมายนี้อย่างต่อเนื่องใน Event ซึ่งถูกสร้างขึ้นในเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook
จากระบอบการปกครองแบบเจ้าอาณานิคม สู่เผด็จการห้องเชียร์ : เส้นทางประวัติศาสตร์ของ "อุดมการณ์โซตัส"ระบบ โซตัส (SOTUS) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในหลายสถาบันการศึกษาในปัจจุบันนั้น สันนิษฐานว่าเริ่มต้นขึ้นจากการนำระบบอาวุโสของโรงเรียนกินนอนในประเทศ อังกฤษ (Fagging system) เข้ามาใช้ในโรงเรียนมหาดเล็กตั้งแต่ประมาณทศวรรษ 2440 ซึ่งเป็นระบบที่มีการแต่งตั้งดรุณาณัติ (Fag-master หรือ Prefect) จากนักเรียนอาวุโสผู้เรียนดีและประพฤติดี เพื่อทำหน้าที่ช่วยครูในการอบรมสั่งสอนและดูแลคณะนักเรียน โรงเรียนมหาดเล็กซึ่งพัฒนามาจากโรงเรียนสำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่าย พลเรือนนี้เป็นส่วนหนึ่งของพระบรมราโชบายปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินของ รัชกาลที่ 5 โดยมีวัตถุประสงค์แรกเริ่มเพื่อผลิตข้าราชการสำหรับกิจการปกครองท้องถิ่น
ใน แง่นี้ อาจกล่าวได้ว่า โรงเรียนมหาดเล็กคือกลไกสำคัญในการทำให้โครงสร้างการรวมศูนย์อำนาจเพื่อ "ปกครอง" และ "ควบคุม" เมืองขึ้นแข็งแกร่งขึ้น ในช่วงเวลาที่สยามยังไม่ได้เป็นรัฐชาติเฉกเช่นที่เรารู้จักกันทุกวันนี้
ครั้น ต่อมา เมื่อได้รับการสถาปนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ได้สานต่อระบบอาวุโส ผนวกกับแนวคิดเรื่องระเบียบ ประเพณี สามัคคีและน้ำใจ จนคำว่า โซตัส (SOTUS) กลายเป็นคำขวัญทั้ง 5 ของนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและเป็นปณิธานในการอบรมสั่งสอนของผู้บริหาร อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ ไม่ปรากฏการใช้ความรุนแรงใดๆ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าระบบโซตัสในระยะแรกมีลักษณะของความเป็น "อุดมคติ" คือเป็นจินตนาการร่วมของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ข้าราชการพลเรือน (ซึ่งต้องออกไป "ปกครอง" ท้องถิ่นแดนไกลอันป่าเถื่อนล้าหลังในนามของราชการไทย) ต้องไปให้ถึง ซึ่งสอดรับเป็นอย่างดีกับบริบททางการเมืองของการผนวกรวมชาติและการสร้าง มาตรฐานเดียวให้กับคุณค่าต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องเป็นมาตรฐานของ "ส่วนกลาง" เท่านั้น
ต่อ มา ระบบโซตัสในรูปแบบที่เข้มข้นขึ้น ซึ่งหมายถึงการผนวกรวมกิจกรรมการว้ากและการลงทัณฑ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งนั้น ประเทศไทยรับมาในช่วงสงครามเย็นหรือประมาณทศวรรษ 2480 โดยได้มีการส่งนักศึกษาไปเรียนระดับปริญญาตรีในสหรัฐอเมริกา (โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยโอเรกอนและมหาวิทยาลัยคอร์แนล) และในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แห่งชาติ ณ เมืองลอสแบนยอส ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งในขณะนั้น ฟิลิปปินส์ถูกยึดครองโดยอเมริกามาเกือบครึ่งศตวรรษก่อนหน้า "ผู้ปกครอง" ได้ถ่ายทอดรูปแบบเทคโนโลยีและรูปแบบการเรียนการสอนให้กับ "ผู้ถูกปกครอง" จึงทำให้ แนวคิดและระบบการศึกษาในมหาวิทยาลัยนี้เป็นไปในแบบอเมริกัน
เมื่อ จบกลับมา นักศึกษาของไทยก็ได้นำเอาระบบการว้าก (การกดดันทางจิตวิทยา) และการลงโทษ (การทรมานทางร่างกาย) มาใช้กับมหาวิทยาลัยไทย โดยเริ่มจากโรงเรียนเตรียมวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้ เชียงใหม่ ซึ่งผลิตนักเรียนเพื่อเข้าเป็นนิสิตของวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
เป็นไป ได้ว่าในช่วงเวลานี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้นำคำว่า "โซตัส" ซึ่งเป็นคำขวัญของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมาปรับใช้เรียกระบบการรับน้อง "นำเข้า" รูปแบบใหม่นี้
จากมุมมองทางประวัติศาสตร์นี้ ระบบ โซตัส ถือเป็น "ประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรม" ซึ่งถือกำเนิดขึ้นจากการหยิบยืม "องค์ความรู้" และ "เทคโนโลยี" สมัยใหม่มาจากมหาอำนาจจักรวรรดินิยมทั้งอังกฤษและอเมริกัน แม้จะต่างกรรมต่างวาระ แต่ก็อิงอยู่บนฐานกรอบคิดเดียวกัน กล่าวคือ กรอบคิดแบบเจ้าผู้ปกครองอาณานิคม ซึ่งมีรูปแบบที่เข้มข้นรุนแรงเพื่อกำราบ "เมืองขึ้น" ให้สยบยอม โดยในทางเนื้อหานั้น การเข้าไปรุกรานและควบคุม จำต้องนำรูปแบบการปกครองแบบทหารเข้ามาใช้ โดยผ่านกลไกของระบบการศึกษาของพลเรือน
นอกจากนี้ หากพิจารณาบริบททางการเมืองของไทยในยุคที่โซตัสลงหลักปักฐานอย่างจริงจังในมหาวิทยาลัยไทยนั้น เรากำลังอยู่ในยุค "รัฐนิยม" ที่มาพร้อมกับการปลูกฝังลัทธิชาตินิยมให้แก่เยาวชนและราษฎรไทย จึงไม่น่าแปลกใจเลยหากแนวคิดและรูปแบบของการปกครองนี้จะถูกหยิบมาใช้ใน สถาบันการศึกษาชั้นนำ โดยมีจุดประสงค์เชิงอุดมการณ์ เพื่อสร้างราษฎรที่มีคุณภาพ (ตามอุดมคติของรัฐ) เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ เพราะในลัทธิชาตินิยม ไม่มีพื้นที่ให้กับความเป็นปัจเจกและความเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเสรีภาพเป็น ของตน จะมีก็เพียงแต่สำหรับราษฎรที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามหน้าที่ของตน (ตามที่รัฐบอก) อย่างเชื่องๆ
ต่อมาในทศวรรษ 2510 เมื่อกระแสสำนึกประชาธิปไตยถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อต้านอำนาจ เผด็จการทหารโดยเฉพาะในหมู่นิสิตนักศึกษา ประเพณีและวิถีปฏิบัติจารีตนิยมหลายอย่างได้ถูกตั้งคำถามในฐานะฟันเฟือง สำคัญทางวัฒนธรรม ซึ่งผู้นำเผด็จการและเครือข่ายอุปถัมภ์นำมาใช้ครอบงำความคิดในระดับจิตใต้ สำนึกของประชาชนอย่างแนบเนียน
ระบบโซตัส ภายใต้ชื่อเรียกว่า "การรับน้อง" และ "ห้องประชุมเชียร์" จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องถูกตั้งคำถามในฐานะหัวขบวนแห่งกระบวนการปลูก ฝังกล่อมเกลาปัญญาชนคนหนุ่มสาวให้อยู่ในสภาพเกียจคร้านทางปัญญาและสภาพชินชา ทางการเมือง
ในยุคนี้ เรามีตัวอย่างมากมายของ "คนรุ่นใหม่" ซึ่งออกมาเรียกร้องให้มีการเปิดประเด็นถกเถียงเรื่อง "วัฒนธรรมการรับน้อง" ดังกรณีของกลุ่มวลัญชทัศน์แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งได้ส่งตัวแทนชิงตำแหน่งประธานชมรมเชียร์ โดยมีนโยบายสำคัญคือการ เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเชียร์ ซึ่งก็ได้รับชัยชนะ และสิ่งแรกที่ทำคือการแจกบทกวี "ฉันจึงมาหาความหมาย" ของ วิทยากร เชียงกูล ให้แก่นักศึกษาใหม่ในห้องเชียร์
แต่ หลังจากความพ่ายแพ้ของขบวนการนักศึกษาหลัง 2519 ระบบโซตัสก็ได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง คู่ขนานไปกับการกลับมาของการเมืองแบบจารีต ที่มีฐานมาจากระบบอุปถัมภ์และเครือข่ายความสัมพันธ์ของชนชั้นปกครอง การใช้อำนาจปกครองทางการเมืองและวัฒนธรรมถูกทำให้ซับซ้อนและนุ่มนวลขึ้นด้วย เครื่องมือใหม่ที่ชนชั้นนำไทยรับมาจากระบอบจักรวรรดินิยมใหม่ในยุคหลัง สงครามเย็น ภายใต้โฉมหน้าของทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ซึ่งใช้กลไกระบบตลาดในการเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนในสังคมจากการกดขี่และ จากปัญหาที่แท้จริงได้อย่างเหนือชั้นยิ่งกว่าระบบใดๆ ในประวัติศาสตร์
การ ตั้งคำถามกับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง (แม้จะมีมาช้านานก็ตาม) จึงถูกทำให้เลือนหายไปจากสังคมไทย เฉกเช่นจิตสำนึกทางสังคมที่เจือจางไปจากคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของบัณฑิต รั้วมหาวิทยาลัย
หากพิจารณาภาพรวมทางประวัติศาสตร์การเดินทางของระบบโซตัสเพื่อฝังรากในวัฒนธรรมไทยนั้น จะเห็นได้ว่าจาก "อุดมคติทางจริยธรรม" ในยุคแรกเริ่มพัฒนาสยามประเทศ ระบบโซตัสได้อวตารมาเป็น "อุดมการณ์โซตัส" อันเข้มแข็งและแข็งทื่อในยุครัฐนิยมและยุคเผด็จการทหารในตอนปลายพุทธศตวรษ ที่ 25 และตอนต้นพุทธศตวรรรษที่ 26 และได้สร้างความเข้มแข็งให้กับตนเองอีกครั้งหลังความพ่ายแพ้ของขบวนการนัก ศึกษาหัวก้าวหน้า
และก็เป็นรูปแบบ "เผด็จการห้องเชียร์" เดียวกันนี้เองที่ยังคงสืบต่อมาจนปัจจุบัน
ที่มา มติชนออนไลน์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)