วันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:10:33
มติชนออนไลน์
เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.ที่่ผ่านมา มี การจัดงานเสวนา "Be Young and Shut Up? พิธีกรรมการรับน้องใหม่ในสถาบันอุดมศึกษาของไทย" โดยมี อ.พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อ.วันรัก สุวรรณวัฒนา อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และลักขณา ปันวิชัย" หรือ "คำ ผกา" คอลัมนิสต์ชื่อดัง ร่วมเสวนา
อ.ศิลปศาสตร์ มธ. เผยที่มา"รับน้อง"จากอำนาจจักรวรรดิ์นิยม
อ.วัน รัก กล่าวถึงความเป็นมาของระบบรับน้องหรือโซตัส(SOTUS) ว่า ย่อมาจากคำว่า Seniority ความเป็นอาวุโส, Order คือระเบียบ, Tradition มาจากประเพณี, Unity คือ ความเป็นกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว และ Spirit เราถูกรุ่นพี่บอกว่ารักกัน เราเลยรักสถาบัน ซึ่งระบบ นี้เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 รับมาจากโรงเรียนกินนอนในประเทศอังกฤษ ในสมัยพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชบายปฏฺิรูปการบริหารแผ่นดิน เพื่อการผลิตข้าราชการและพลเมืองไปปกครองเมืองต่างๆ และรวมอำนาจไว้ที่ส่วนกลางคือสยาม
ส่วนหนึ่งเริ่มจากในปี พ.ศ.2440 โรงเรียนมหาดเล็ก ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นจุฬาฯ ได้ตั้งนักเรียนอาวุโสเป็นดรุณาณัติ(หัวหน้านักเรียน) หรือพรีเฟ็ค (ในนวนิยายเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์) ทำหน้าที่ช่วยครูในการดูแลนักเรียน ขณะที่อีกส่วนหนึ่งมาจากฟิลิปปินส์ เมื่อครั้งที่ครูถูกส่งไปเรียนที่นู่นก่อนมา และนำการสอนนักเรียนในโรงเรียนเตรียมนักศึกษาที่แม่โจ้ และเป็นนักศึกษาในมหาวิทลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯ มาถึง 50 ปี
"หยิบ ยืมองค์ความรู้และเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาจากมหาอำนาจจักรวรรดิ์นิยม ทั้งอังกฤษ และอเมริกา แม้จะต่างกรรมต่างวาระ ที่ยืนอยู่บนกรอบคิดเดียวกัน คือกรอบคิดแบบเจ้าผู้ปกครองนิคมนั่นเอง" อ.วันรัก กล่าว
"เมื่อ คุณเข้ามามหาวิทยาลัยแล้ว มีกลุ่มคนที่หวังดีต้องการรับน้อง แต่ในนามของเจตนาดีบางอย่าง ไม่ต่างกับเจตนาดีของพ่อแม่ ที่บอกว่าเธอต้องเลือกเรียนอันนี้เพราะมันดีกับเธอ เจตนาดีบางทีอาจไม่สนองกับสิ่งที่อีกคนต้องการในช่วงเวลา ที่ต้องการหาความหมายชีวิต ช่วงเวลาของการเป็นตัวของตัวเอง ช่วงเวลาที่ฉันอยากจะแตกต่าง"
"อ.พิชญ์"บอกคุ้ม ลงทุนปีเดียวได้กำไรทั้งชีวิต
ด้าน อ.พิชญ์ กล่าวว่า ระบบโซตัสกลับมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังพ.ศ. 2540-2541 ซึ่งมีเหตุผลในทางเศรษฐกิจรองรับ คนที่รับรู้และสืบสานประเพณีเหล่านี้ คำนวณแล้วว่าโคตรจะคุ้ม ระบบนี้จึงดำรงอยู่ ระบบอุปถัมภ์จึงเป็นการคาดคำนวณแล้ว
"คุ้ม แสนคุ้ม ลงทุน1ได้3 คุณยอมรุ่นพี่1ปี แต่คุณได้คืน3ปี ได้รับน้อง 3 ปี หรือมากกว่านั้น เป็นการลงทุนที่แสนคุ้ม ไม่มีกองทุนอะไรที่จะดีกว่านี้อีกแล้ว รุ่นพี่ก็คุ้มเพราะมีรุ่นน้อง เพราะรุ่นพี่ไม่รู้จะหาการยอมรับจากที่อื่นอย่างไร อาจารย์ก็ไม่ยอมรับ จึงต้องมีวิธีให้น้องยอมรับ" อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าว และว่า ยิ่งเป็นยุคทุนนิยม ประเพณีนี้ยิ่งสืบสาน เพราะการแข่งขันในตลาดแรงงานมันสูง ยิ่งมีเหตุผลที่ต้องรักกัน เช่น คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ยิ่งต้องรักกัน ไม่งั้นมันไม่รอด อาจถูกย้ายกันไปอยู่ตามกรมต่างๆ
อย่าง ไรก็ตาม เห็นว่าผู้บริหารมหาวิทยาลัยไม่สามารถดูแลนักศึกษได้หมดทุกคน จึงต้องปกครองแบบ "ซุ้ม" เหมือนเลี้ยงมือปืน เลี้ยงนักเลง นี่คือโครงสร้างส่วนบนที่มองไม่เห็นของระบบอุปถัมภ์
"การที่ ผู้บริหารปล่อยให้ระบบนี้อยู่ได้ เพราะไม่สามารถดูแลนักศึกษาได้ทั้งหมด จึงต้องหลับตาข้างหนึ่งเหมือนตำรวจเลี้ยงนักเลง ให้ช่วยทำเรื่องต่างๆ"
สรุป ทางออกมีอยู่ 4 ทางคือ 1.ถ้าคิดว่ามีปัญหาระบบ ก็ไปฟ้องคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 2.ส่งเสริมกิจกรรมในเชิงจิตอาสา และจิตสาธารณะ เพื่อให้เขารับรู้ทุกข์สุขของคนรอบตัวเขามากขึ้น 3.ผู้บริหารต้องหากิจกรรมอื่นให้เด็กรุ่นพี่ทั้ง 3 ปีทำ เพื่อให้รุ่นน้องยอมรับ มากกว่าไปบังคับให้รุ่นน้องเชื่อฟัง และ 4.หากต้องการให้มีการรับน้องแบบเผด็จการ ควรเป็นระบบสมัครใจ และทำนอกพื้นที่มหาวิทยาลัย
"จะทำให้เขารู้สึกว่าเขามีความหมาย จึงไม่ต้องไปบังคับให้น้องเคารพ เป็นปัญหาของอาจารย์ที่ต้องคิดให้ออก ถ้าเด็กรุ่นพี่ไปประกวดได้รางวัล และมีนิทรรศการ เขาไม่มีเวลาไปว้ากน้องหรอก น้องเคารพรุ่นพี่อยู่แล้ว เพราะพี่มีผลงาน"
"คำ ผกา"ให้น้องย้อนถามพี่มีอะไรน่านับถือ
"คำ ผกา" กล่าวว่า สมัยที่ตนเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อปีพ.ศ. 2532 ไม่เคยผ่านมารับน้องใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ถูกว้ากและไม่วิ่งขึ้นดอย จึงแปลกใจว่าทำไมรุ่นน้องหลายคนถึงปฏิเสธไม่ได้ เราไม่ไป ก็ไม่เห็นมึใครมาทำอะไรเราได้ รู้สึกว่าฉันไม่สนใจ ฉันไม่แคร์ ฉันไม่เอารุ่นก็ได้ ฉันเจ๋งพอที่ไม่ต้องพึ่งพาระบบอุปถัมภ์เหล่านั้น
"หลาย คนที่ต้องพึ่งระบบรับน้อง เพราะคุณไม่มั่นใจศักยภาพของตัวคุณ ว่าคุณสามารถเติบโตในการทำงาน สมัครงาน หรือทำอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพารุ่นพี่"
การนับถือรุ่นพี่จะนับถืออยู่ปี สูงกว่า อายุสูงกว่า แต่ไม่ได้ดูว่ารุ่นพี่มีผลงานอะไรให้นับถือบ้าง แล้วมีเรื่องปมด้อยและเรื่องศักดิ์ศรี เมื่อมหาวิทยาลัยใหญ่พัฒนาการว้ากให้เป็นเรื่องขำ แต่มหาวิทยาลัยเล็กๆ หรือมหาวิทยาลัยใหม่ เช่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หรือมหาวิทยาลัยใหม่ในเชียงใหม่ เริ่มจะเอาการรับน้องให้ขึ้นดอยตามมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมาย ถึงว่า มหาวิทยาลัยที่ไม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ก็ใช้การรับน้องเพื่อสร้างความภาคภููมิใจให้สถาบัน เรียกว่าเป็น "วิกฤติทางอัตลักษณ์" มหาวิทยาลัยยิ่งเล็กการรับน้องก็จะยิ่งโหด
การ แก้ปัญหาคือ เด็กปี 1ทุกคนต้องปฏิเสธระบบนั้นด้วยตัวเอง แต่เท่าที่เคยเห็นมา เห็นเด็กปี1 ทุกคนใส่ป้ายชื่อ และมีซีเรี่ยลนัมเบอร์เหมือนสัตว์ในฟาร์ม และมีความสุขความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของระบบนี้ จึงต้อง เปลี่ยนระบบความคิดว่า ความภาคภูมิใจในสถาบันไม่ได้อยู่ที่พิธีกรรม แต่ขึ้นอยู่กับผลงานที่แตะต้องได้เป็นรูปธรรม ว่ามหาวิทยาลัยของคุณมีรางวัลได้โนเบลกี่คน มหาวิทยาลัยมีศิษย์เก่าได้จัดนิทรรศการและเป็นที่ยอมรับในโลกกี่คนแล้ว
"ทำไม น้องไม่พูดกับรุ่นพี่แบบนี้คุณแก่กว่าเราปีเดียวคุณคิดว่าคุณเห็นโลกอะไร มากกว่าเราหนักหนา คุณจะมาสอนอะไรเรา แน่จริงมาอ่านหนังสือแข่งกัน โต้วาทีแข่งขันเอาไหม ทำไมคิดไม่ได้ คุณ แก่กว่าเรากี่ปี เราดูแลตัวเองได้ เราอาจเคยทำงานมามากกว่าคุณอีก เราอาจโลกผ่านชีวิตมามากกว่าคุณอีก เผลอๆ เคยเป็นสาวนั่งดริงก์มาแล้วด้วย กว่าจะส่งตัวเองเข้ามหาวิทยาลัยจนถึงทุกวันนี้ ฉันอาจเคยนอนกับผู้ชายมากกว่าคุณเคยนอนกับผู้หญิงก็ได้ อะไรแบบนี้ ช่วยมีจินตนาการว่าจะเอาอะไรไปคุยกับพวกรุ่นพี่พวกนี้บ้าง" คำ ผกา กล่าว