วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554
Helle Thorning-Schmidt "นายกรัฐมนตรีหญิง" คนแรกของเดนมาร์ก(มีคลิป)
พรรคฝ่ายค้านเดนมาร์กฉลองชัยชนะ หลังจากชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้อย่างหวุดหวิด ยุติบทบาทฝ่ายค้านที่ดำเนินมานานถึง 10 ปี
โดยหลังจากการนับคะแนนเสร็จสิ้น พรรคสังคมประชาธิปไตย(Denmark's Social Democrats)ซึ่งนำโดยนางเฮลเล ธอร์นนิ่ง-ชมิดท์(Helle Thorning-Schmidt)ได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเฉียดฉิว ซึ่งนั่นทำให้เธอจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีลาร์ส ลอกเก รัสมุสเซน(Lars Løkke Rasmussen) ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้
ซ้าย : นาย Lars Løkke Rasmussen / ขวา : นาง Helle Thorning-Schmidt
นางเฮลเล ธอร์นนิ่ง-ชมิดท์ (Helle Thorning-Schmidt) วัย 44 ปี ประกาศชัยชนะต่อบรรดาผู้สนับสนุน และเตรียมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ พรรคของนางธอร์นนิ่ง-ชมิดท์ คว้าที่นั่ง 89 ที่นั่งในรัฐสภาเดนมาร์กซึ่งมีทั้งหมด 179 ที่นั่ง ขณะที่พรรคของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้เพียง 86 ที่นั่ง
บรรดาผู้สนับสนุนต่างร่วมยินดีและเฉลิมฉลองชัยชนะให้แก่ว่าที่ผู้นำหญิงคนแรก ซึ่งชูนโยบายเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ขึ้นภาษีคนรวย และให้ทุกคนทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 12 นาที โดยระบุว่า ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนั้น เธอยังให้คำมั่นที่จะนำกฎหมายด้านการเดินทางเข้าเมืองที่เข้มงวดกลับมาบังคับใช้อีกครั้งหนึ่ง หลังการเข้มงวดกับกฎหมายคนเข้าเมืองนานกว่า 10 ปี ของรัฐบาลชุดก่อนที่นำโดยพรรคเสรีนิยม
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์สูงถึงร้อยละ 87.7 เพิ่มจากเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ที่มีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ร้อยละ 86.5
นางธอร์นิง-ชมิดท์ วัย 44 ปี เป็นผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตย(Denmark's Social Democrats)มาตั้งแต่ปี 2005 จบปริญญาโทสาขายุโรปศึกษาจากมหาวิทยาลัย College of Europe นอกจากนั้น เธอยังพูดได้คล่องถึง 3 ภาษา คือ เดนมาร์ก อังกฤษ และ ฝรั่งเศส เธอสมรสแล้ว และมีบุตร 2 คน
ศึกษาประวัติของเฮลเล ธอร์นนิ่ง-ชมิดท์ต่อได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Helle_Thorning-Schmidt
ศึกษาความเข้าใจระบบการเมืองการปกครองในเดนมาร์ก ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81
ปรับปรุงบทความมาจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1316142446&grpid=&catid=06&subcatid=0600
วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554
มาชมความงามรัฐสภาไทยแห่งใหม่กัน(มีคลิป)
สัปปายะสภาสถาน รัฐสภาใหม่
ชื่อ "สัปปายะสภาสถาน" โดยคำว่า สัปปายะ แปลว่า สบาย ในทางธรรม หมายถึงสถานที่ประกอบกรรมดี ซึ่งก่อนประเทศวิกฤต กษัตริย์จะสร้างสถานที่เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ โดยการดำเนินชีวิตทางโลกียะ จะมีโลกุตระคือธรรมะกำกับ ซึ่งวันนี้บ้านเมืองเกิดวิกฤตความเสื่อมศีลธรรม จึงต้องฟื้นจิตใจของคนในชาติ จึงนำหลักการสถาปัตยกรรมไทยแบบแผนไตรภูมิตามพุทธคติมาเป็นแรงบันดาลใจออกแบบ โดยมีอาคารเครื่องยอดสถาปัตยกรรมไทย อยู่ตรงกลางอาคาร และเป็นโอกาสที่จะเป็นรัฐสภาระดับโลก ฟื้นสันติภาพ พลิกฟื้นจิตวิญญาณของมนุษย์โลก โดยการสถาปนาเขาพระสุเมรครั้งใหม่ในยุครัตนโกสินทร์
ความเป็นมาของรัฐสภาแห่งใหม่
อาคารรัฐสภาปัจจุบันตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคมในเขตพระราชวัดุสิต โดยได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา และสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และแม้ได้มีการขยายพื้นที่ใช้สอยโดยการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วก็ตามแต่เนื่องจากภารกิจของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่ขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้น ประกอบกับการเพิ่มมากขึ้นของคณะกรรมาธิการ ทำให้รัฐสภาขาดพื้นที่ใช้สอยในส่วนที่ทำการของสมาชิกรัฐสภาและห้องประชุมคณะกรรมาธิการคณะต่างๆ
อีกทั้งการขยายขอบเขตของงานในส่วนราชการสังกัดรัฐสภา อันประกอบด้วยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ซึ่งมีการบริหารจัดการที่แยกส่วนกัน รวมทั้งจำนวนข้าราชการที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา ทำให้สถานที่ปฏิบัติงานของรัฐสภาในปัจจุบันอยู่ในสภาพแออัด มีปัญหาในเรื่องพื้นที่จอดรถ และการเข้าถึงพื้นที่มีความไม่สะดวก ส่งผลให้การปฏิบัติงานและดำเนินงานของรัฐสภาไม่คล่องตัวเท่าที่ควรโดยที่ผ่านมารัฐสภาได้แก้ไขปัญหาในบางส่วน ด้วยการจัดหาและเช่าสถานสำหรับเป็นสำนักงานในหลายพื้นที่ อาทิเช่น อาคารกษาปณ์ อาคารทิปโก้ อาคารทหารไทย อาคารดีพร้อม และอาคารสุขประพฤติ ซึ่งข้าราชการรัฐสภายังคงแยกส่วนกันอยู่ ทำให้เป็นอุปสรรรคในการบริหารจัดการและมีข้อจำกัดในการปฏิบัติภารกิจของสมาชิกรัฐสภาด้วยเหตุผลดังกล่าว ในอดีตที่ผ่านมาจึงมีความพยายามที่จะก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ในสมัยนายมารุต บุนนาค ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา
จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ในสมัยนายชัย ชิดชอบ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ได้มีการประชุมปรึกษาหารือเรื่องการหาพื้นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ระหว่าง นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา
พันเอก ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง นายนิคมไวยวัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นางสาวทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่สองนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาหาพื้นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยมีการพิจารณาข้อดี-ข้อด้อยของพื้นที่ และพิจารณาผลการศึกษาวิจัยของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สรุปได้ว่าพื้นที่ราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเป็นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เนื่องจากเป็นแกนของเมืองที่มีความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่รัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขยายเมืองในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยการก่อสร้างถนนราชดำเนินไปสิ้นสุดที่ลานพระบรมรูปทรงม้าต่อเนื่องถึงพระที่นั่งอนัตสมาคม ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมรัฐสภาครั้งแรก
จึงมีข้อสรุปเป็นมติเห็นชอบร่วมกันเลือกพื้นที่ ราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่สุดในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่
O.B.L. หนังสารคดีเพื่อความเข้าใจที่ดีต่อมุสลิม
เนื่องในโอกาสรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ครบรอบ 10 ปี หลายๆคนโดยเฉพาะชาวตะวันตกมักบอกว่า “The world never be the same.” สิ่งที่น่าสนใจก็คือเสียงจากชาวมุสลิมว่าหลังจากวันนั้นชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน?
O.B.L. คือสารคดีความยาว 20 นาที กำกับโดย ภาณุ อารี, ก้อง ฤทธิ์ดี และ กวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ์ เป็นเสียงสะท้อนจากชาวมุสลิมในประเทศไทย ที่สังคมตัดสินเขาพวกเขาไปแล้วทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และไม่ได้สนับสนุนการกระทำของ โอซามา บิน ลาเดน ภาพของมุสลิมในประเทศไทยกลายเป็นผู้ก่อการร้าย
ลองหันมาฟังเสียงที่พวกคุณไม่เคยรับฟัง และเปิดใจฟังในสิ่งที่คุณไม่ได้ยินว่า “อิสลาม” หมายถึง ความสันติ แล้วหันมาถามตัวเองว่าเรารู้จักกันจริงๆหรือไม่? เสียงที่สะท้อนผ่านสื่อมีอำนาจเหนือกว่าสิ่งที่พวกเขาบอกเล่าหรือไม่? แล้วเราจะทำสงครามเพื่อยุติสงครามได้จริงๆหรือ?
O.B.L. ( 2011) / 20 Mins
A Documentary by Panu Aree , Kong Rithdee , Kaweenipon Ketprasit
เรื่องย่อ
ครบรอบ 10 ปี แห่งหายนะ 11 กันยาที่นิวยอร์ค เหตุการณ์ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนทั้งทางการเมือง วัฒนธรรม ศาสนา และเปิดประเด็นความขัดแย้งอันยากจะเยียวยาระหว่างโลกอิสลามกับโลกตะวันตก (รวมทั้งโลกอื่นๆ) ต่อเนื่องมาถึงการสังหารโอซามา บิน ลาเดน นักรบ/ผู้ก่อการร้าย/ปราชญ์/โลโก้ทีเชิร์ต บุคคลผู้สร้างและเปลี่ยนแปลงภาพพจน์ของศาสนาอิสลามในแบบที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน
สารคดีสั้นเรื่องนี้สำรวจความคิด ความเห็น และทัศนคติของชาวไทยมุสลิม สิ่งที่พวกเขาประสบและความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดหนึ่งทศวรรษแห่งความโกลาหล
This year marks the 10th anniversary of the September 11 attack in New York, the incident that has sent political, cultural and religious shockwaves and launched a bitter conflict between the Muslim world and the rest. This year also saw the death of Osama Bin Laden -- terrorist/warrior/philosopher/T-shirt logo, depending on who you ask -- the man who shaped the image of Islam the way nobody has done since Prophet Muhammad.
This short documentary listens to the opinion and attitude, the contentment and resentment, of Thai Muslims to investigate how their lives have been affected during the decade of confusion and chaos.
ที่มา http://www.siamintelligence.com/o-b-l-movie/
ตามละครรอยไหมไปดูกองกำลังว้า-เมืองลาลงนามสันติภาพกับรัฐบาลพม่ารอบใหม่
ละครรอยไหมที่ได้ออนแอร์ออกอากาศไปแล้วตอนสองตอนผมขออนุญาตพูดเรื่องเจ้านางน้อยของเจ้าศิริวัฒนาหน่อยว่าถิ่นกำเนิดของเธออยู่ตรงไหนของประเทศไทย เหตุการณ์การเมือง สังคม วัฒนธรรมที่นั่นเป็นอย่างไรแต่ความจริงบ้านเกิดเธออยู่เชียงตุงในพม่าครับ
พม่า ณ ตอนนี้มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกือบทุกภาคทุกรัฐยกเว้นย่างกุ้งจะไม่มีสงคราม ทั้งมีการละเมิดสิทธิมุษยชนไม่เว้นว่าง ดังจะเห็นผลกระทบที่ไทยเราต้องรับผู้หลบหนีจากภัยสงครามตามแนวชายแดนไทย-พม่าโดยตลอด การจะพูดเรื่องเจ้านั่นเจ้านี้ ถูกพม่ากวาดล้างเกือบหมดสิ้นที่ยังอยู่ก็ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ประเทศที่สามหมดไม่มีใครอยู่ในพม่าเลยหรือคนที่อยู่ก็ยอมอยู่ในอานัติหรือถูกจับติดคุกหรือไม่ก็จะจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเพื่อเอกราชของประเทศหรือของชาติพันธุ์ของตนและมีการสู้รบกันเป็นเวลายาวนานมากโดยปัจจุบันมีทั้งกลุ่มที่ยังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลและวางอาวุธเพื่อเป็นแนวร่วมรัฐบาลมาปราบกลุ่มที่ติดอาวุธและดูแลแนวชายแดนให้กับรัฐบาลพม่าไปในตัว ดังนั้นที่ผมจะพูดถึงคือเรื่องสันติภาพในแนวชายแดนทางเหนือของพม่าครับ
โดยกองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA ได้ลงนามข้อสัญญาสันติภาพกับรัฐบาลทหารพม่ารอบใหม่หลังพบหารือกับคณะเจรจาของรัฐบาลตามคำเชิญเรื่องนี้ทำหลายฝ่ายสับสนงุนงงเพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศทั้งสองกลุ่มเป็นกลุ่มนอกกฎหมายชัดเจน หลังปฏิเสธตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดน
แหล่งข่าวชายแดนจีนซึ่งใกล้ชิดเจ้าหน้าที่กองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA เปิดเผยว่า กองทัพสหรัฐว้า UWSA “กองกำลังว้า”และกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย NDAA “กองกำลังเมืองลา”ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลทหารพม่าอีกครั้งหลังทั้งสองกลุ่มได้พบหารือกับคณะเจรจาเพื่อสันติภาพของรัฐบาลตามคำเชิญที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 6 - 7 ก.ย. ที่ผ่านมา
การลงนามสัญญาสันติภาพดังกล่าวมีขึ้นหลังคณะเจรจาของรัฐบาลทหารพม่าซึ่งมีนายอูอ่องตอง และ นายอูเต็งส่อ คณะกรรมการบริหารพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา (USDP)ในนามคณะกรรมการเจรจาสันติภาพอันมีประธานาธิบดีเต็งเส่ง เป็นประธานได้ยื่นข้อเสนอเพื่อสันติภาพ 4 ข้อคือ 1. ไม่ให้เกิดการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่าย 2.ให้ทั้งสองฝ่ายเปิดสำนักงานประสานงานในพื้นที่ที่เคยเปิดตามเดิม 3.หากทหารฝ่ายใดติดอาวุธจะเดินทางเข้าเขตพื้นที่อีกฝ่ายให้แจ้งล่วงหน้า และ 4.แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานแต่ละฝ่ายเพื่อทำหน้าที่ประสานเจรจาเพื่อให้ความสัมพันธ์สองฝ่ายก้าวหน้า
โดยกองกำลังว้า UWSAและกองกำลังเมืองลา NDAA เห็นว่าข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่าเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายจึงได้ลงนามหลังการหารือกันแล้วเสร็จ โดยตัวแทนกองกำลังว้า UWSA ซึ่งมีนายเปาโหย่วเหลียง(น้องชายเปาโหย่วเฉียง ผู้นำสูงสุด UWSA) จ้าวก่ออางฝ่ายกิจการต่างประเทศ และ ลีจูเลี่ย โฆษกของ UWSA ได้ลงนามเมื่อวันที่6 ก.ย. และกองกำลังเมืองลา NDAA ซึ่งมีตัวแทนคือเจ้าซางเป่อรองประธานที่ 1 เจ้าแสงลา เลขาธิการ ลงนามในวันต่อมา (7 ก.ย.)
ภาพทหารกองกำลังว้า UWSA
ภาพทหารกองกำลังเมืองลา NDAA
แหล่งข่าวเผยว่านอกเหนือจากข้อเสนอสันติภาพ 4 ข้อคณะเจรจาของรัฐบาลทหารพม่าได้กล่าวระหว่างการพบหารือกันด้วยว่าให้กองกำลังทั้งสองกลุ่มดำเนินการด้านการปกครองในพื้นที่ครอบครองได้ตามปกติและว่าในส่วนที่ทั้งสองฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกันจะให้คณะประสานงานแต่ละฝ่ายหารือและแก้ไขไปเป็นขั้นเป็นตอนขณะที่ฝ่ายตัวแทนกองกำลังเมืองลา NDAA ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องให้กองทัพพม่าถอนกำลังทหารที่รุกล้ำเข้าเขตครอบครองของตนออกไปทั้งหมดซึ่งตัวแทนรัฐบาลทหารพม่ากล่าวว่าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานกรุงเนปิดอว์
ทั้งนี้ การพบหารือที่นำไปสู่การลงนามข้อสัญญาสันติภาพระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAAมีขึ้นหลังทางการพม่าโดยศูนย์บัญชาการกองทัพในพื้นที่เมืองยาง(อยู่ทางเหนือเมืองเชียงตุง)ได้ส่งจดหมายแสดงเจตนาสร้างสันติภาพถึงทั้งสองกลุ่มเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาโดยมีเนื้อหาระบุเชิญร่วมเจรจาสันติภาพตามกระบวนการปรองดองของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.เต็ง เส่ง
อย่างไรก็ตามการแสดงท่าทีอ่อนข้อของรัฐบาลทหารพม่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีเต็งเส่ง ครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายต่างสับสนงุนงงไม่น้อย ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า รัฐบาลทหารพม่ากำลังเล่นบทตีสองหน้าฝ่ายหนึ่งยื่นข้อเสนอสันติภาพกับกองกำลังบางกลุ่มขณะที่อีกฝ่ายส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามกองกำลังติดอาวุธทั้งกองกำลังเอกราชคะฉิ่น KIAกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ” SSA/SSPP ซึ่งต่างมีสถานะไม่ต่างจากกองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA คือถูกกำหนดเป็นกลุ่มนอกกฎหมายหลังปฏิเสธตั้งเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน นอกจากนี้กองทัพรัฐบาลยังเปิดศึกต่อเนื่องกับ
กองกำลังกะเหรี่ยง KNU และกองกำลังSSA กลุ่มพล.ท.ยอดศึกซึ่งเป็นกลุ่มต่อสู้เรียกร้องสิทธิปกครองตนเองและไม่เคยหยุดยิงกับรัฐบาลมาก่อน
กองกำลังว้า UWSAและกองกำลังเมืองลา NDAA เป็นอดีตกลุ่มแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่าCPB-Communist Party of Burma เช่นเดียวกันกองกำลังเอกราชคะฉิ่นKIA และกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ”SSA/SSPP ซึ่งหลังแยกตัวออกจาก CPB ได้ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าเมื่อปี 2532 (1989) อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางปี 2549ได้ถูกรัฐบาลทหารพม่ากดดันให้เปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF(Border Guard Force) แต่หลังปฏิเสธก็ถูกกำหนดเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย
เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมากองทัพรัฐบาลทหารพม่าได้บุกโจมตีกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ”SSA/SSPP ทำให้้ข้อสัญญาหยุดยิงที่เคยมีมากว่า 20 ปีสิ้นสุดลงจากนั้นในต้นเดือนมิถุนายน การโจมตีได้ขยายไปสู่กองกำลังเอกราชคะฉิ่น KIA มีกองบัญชาการอยู่ที่เมืองลายซา รัฐคะฉิ่น ติดชายแดนจีนจนถึงขณะนี้ทั้งกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ” SSA/SSPP และกองกำลังคะฉิ่น KIA ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรกับกองกำลังว้าUWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA ต่างยังคงสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่อง
ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/
"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือสำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News)มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉานสหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง /การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org
ปรับปรุงบทความจาก http://www.khonkhurtai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=1046:2011-09-11-09-00-47&catid=34:2009-11-23-07-01-45
มหิดลแซงจุฬา ขึ้นอันดับ 34 มหาวิทยาลัยเอเชีย ใน TopUniversities.com
รายงานจัดอันดับของ QS World University ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก 500 มหาวิทยาลัย โดยบริษัท Quacquarelli Symonds (QS) ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตนักศึกษาหลักสูตร MBA ชื่อ Nunzio Quacquarelli โดยบริษัทนี้ทำธุรกิจการให้บริการด้านการศึกษากับนักศึกษาและ candidate จากใน 35 ประเทศ
สำหรับรายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในเอเชียประจำปี 2554 ถูกประกาศ TopUniversities.com พบว่ามหาวิทยาลัยมหิดล ติดอันดับ 34 ด้วยคะแนน 77.09 คะแนน ในขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามมาเป็นอันดับที่ 47 ด้วยคะแนน 69.90 คะแนน ทั้งนี้ใน 50 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยเอเชีย นอกจากมหาวิทยาลัยของไทยแล้ว ยังมีอีก 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำจากประเทศในอาเซียนติดอันดับด้วยคือ มหาวิทยาลัยจากสิงคโปร์ติดในอันดับ 3 (NUS), อันดับ 17 (NTU) มหาวิทยาลัยจากมาเลเซียติดอันดับ 39 (UM) และมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซียติดอันดับ 50 (University of Indonesia)
นอกจาก 50 อันดับมหาวิทยาลัยเอเชียแล้ว ยังมีมหาวิทยาลัยในประเทศไทยติดอันดับเพิ่มเติมคือ อันดับ 67 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยคะแนน 56.70 คะแนน, อันดับ 88 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยคะแนน 51.60 คะแนน, อันดับ 95 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยคะแนน 48.90 คะแนน, อันดับ 114 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้วยคะแนน 44.40 คะแนน, อันดับ 120 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยคะแนน 43.20 คะแนน, อันดับ 181-190 มหาวิทยาลัยบูรพา ด้วยคะแนน 30.90 คะแนน, อันดับ 181-190 มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ธนบุรี (บางมด) ด้วยคะแนน 30.20 คะแนน
นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยในไทยอื่น ๆ ที่ติดอันดับตั้งแต่ 201 ขึ้นไป (หลังจากนี้ไม่มีการจัดอันดับอีก) ได้แก่ สถาบันราชภัฎ จังหวัดเลย, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, สถาบันราชภัฎ จังหวัดนครราชสีมา, สถาบันราชภัฎ จังหวัดอุบลราชธานี
ทั้งนี้ QS World University ได้ใช้ตัวแปรที่มีผลในการจัดอันดับคือ ชื่อเสียงของสถาบัน, ชื่อเสียงของบุคลากร, จำนวนนักศึกษานานาชาติ, จำนวนคณะที่ให้การศึกษาระดับนานาชาติ และ จำนวนอ้างอิงงานวิชาการ
อย่างไรก็ตามในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ QS World University ปรากฎว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับเป็นเพียงมหาวิทยาลัยจากประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับที่ 171 ด้วยคะแนน 50.72 คะแนน ในขณะที่มหาวิทยาลัยมลายา (UM) จากประเทศมาเลเซียติดอันดับ 167 ด้วยคะแนน 50.9 คะแนน
นอกจากนี้หากจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกในสายวิชาการด้านสังคมศาสตร์และการจัดการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอันดับที่ 68 ด้วยคะแนน 27.9 คะแนน
ที่มา http://www.siamintelligence.com/mahidol-get-34-ranking-in-asia-university-ranking/
ประกาศคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีรถคันแรกแล้ว พรุ่งนี้(13 กันยายน 54)ครม.พิจารณา
หลังจากคลุมเครือมานานสำหรับผู้ที่ต้องการมีรถคันแรก ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปสำหรับผู้ที่ต้องการนำการซื้อรถไปเพื่อทำการขอคืนภาษีแต่จะคืนได้ไม่เกิน 100,000 บาท โดยในวันพรุ่งนี้คณะรัฐมนตรีจะมีการพิจารณาคุณสมบัติ ดังนี้
1. ต้องมีอายุมากกว่า 21 ปี บริบูรณ์
2. ต้องไม่เคยมีชื่อครอบครองรถยนต์ส่วนบุคคลคันอื่นๆมาก่อนหน้านี้
3.ต้องซื้อรถตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 – 31 ธันวาคม 2555 และเมื่อซื้อแล้วต้องครอบครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี
4. ต้องเป็นรถยนต์กระบะ หรือ รถยนต์ที่มีความจุไม่เกิน 1500 c.c.
5. เป็นรถใหม่ป้ายแดงเท่านั้น
6.มูลค่ารถไม่เกิน 1 ล้านบาท
7. เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย
โดยรัฐจะคืนภาษีให้ต่อเมื่อครอบครองรถเป็นเวลาเกิน 1 ปี
ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีรถคันแรก SIU มองว่าการที่จะให้ซื้อเป็นรถใหม่นั้นมีผลดีในเรื่องของ การซ่อมบำรุงที่ถูกกว่า และ รถรุ่นใหม่สามารถรองรับน้ำมันแก๊ซโซฮอลล์ได้ดีกว่าด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตถึงการระบุว่าให้เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย อาจทำให้ผู้ที่ต้องการมีรถต้องเลือกรถที่เข้ากับเงื่อนไขนี้ ซึ่งอาจเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ผลิตหลายๆราย
ที่มา http://www.siamintelligence.com/first-car/