วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สมเด็จพระบรมฯพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ระงับข้อพิพาทคดีโบอิ้ง

 

รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้แถลงการณ์ เรื่อง การอายัดเครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์ของพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จากกรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท Walter Bau AG ความว่า


ตามที่ศาลสูงสุดแห่งรัฐเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2554 ให้ดำเนินการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งของพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารซึ่งเป็นเครื่องบินส่วนพระองค์ไว้เป็นของกลางในคดีพิพาท ระหว่างบริษัท Walter Bau AG กับรัฐบาลไทยและศาลแขวงแลนส์ฮูท ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2554 ให้วางเงินประกันจำนวน 20 ล้านยูโร เพื่อถอนอายัดเครื่องบินพระที่นั่งดังกล่าวนั้น

ตลอดระยะเวลาตั้งแต่มีคำพิพากษาของศาลสูงสุดแห่งรัฐเบอร์ลิน และคำสั่งของศาลแขวงแลนส์ฮูท สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จนถึงปัจจุบัน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มิได้ทรงตอบโต้แต่ประการใด ต่อคำพิพากษาและคำตัดสินดังกล่าว รวมทั้งต่อกระแสข่าวทั้งจากในและต่างประเทศ

ทรงเคารพต่อคำพิพากษาของศาลและทรงเชื่อมั่นในความยุติธรรมของกระบวนการ ยุติธรรม ด้วยทรงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัฐบาลและประชาชนของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในระหว่างที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจและทรงพำนักอยู่ในสหพันธ์สาธารณรัฐ เยอรมนี ทรงได้รับการต้อนรับ รวมทั้งการอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เป็นอย่างดี

แม้ว่าพระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จะมิได้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัท Walter Bau AG และมิได้ทรงเป็นผู้สร้างเรื่องหรือเหตุการณ์ข้อพิพาทขึ้นมา แต่ผลจากข้อพิพาทดังกล่าวได้นำมาซึ่งความเดือดร้อนพระราชหฤทัย กระทบต่อพระราชกรณียกิจ และเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียพระเกียรติยศเป็นอย่างยิ่ง

ในการนี้ พระองค์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระราชกระแสและพระราชปณิธาน ที่จะทรงตอบแทนพระคุณแผ่นดินไทยและทรงใช้หนี้บุญคุณให้กับประเทศชาติในพระ ราชฐานะที่ทรงเป็นประชาชนชาวไทยพระองค์หนึ่ง และทรงเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมารของประเทศไทยอีกทั้งมิให้เกิดผลกระทบต่อความ สัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และเพื่อให้ข้อพิพาทดังกล่าวจบลงด้วยดี และรวดเร็ว จึงจะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อนำไปใช้ในการระงับข้อพิพาทดัง กล่าว ทั้งนี้ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้มีพระนามาภิไธยไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทและมิ ให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศ

สำนักงานราชเลขานุการในพระองค์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
31 กรกฎาคม 2554

ที่มา มติชนออนไลน์
 

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดกรอบคิด "สมช." ร่างแผน "นโยบายมั่นคง": เมื่อ "แบบแผนของชาติเพี้ยนไปมาก"

(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 30 กรกฎาคม 2554)


ที่มา - เนื้อหา บางส่วนในการสัมมนาของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อรับฟังความเห็นประกอบการจัดทำนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ.2555-2559 โดยมีส่วนราชการทั่วประเทศส่งตัวแทนเข้าร่วมกว่า 200 คน ที่โรงแรมวินเซอร์ สุขุมวิท 20 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม
พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
"แบบเเผนของชาติเพี้ยนไปมาก"




ความมั่นคงของชาติ ไม่ใช่เรื่องเฉพาะของทหาร เพราะมีหลายเรื่องที่สอดคล้อง เช่น ความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ สังคม เป็นต้น ความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่า ความผาสุก การอยู่ดีกินดี ความมีเกียรติยศ ความสามัคคีของประชาชน ศักดิ์ศรีของชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นวัตถุประสงค์ของชาติที่ต้องขับเคลื่อนตามนโยบายด้านความ มั่นคง

ประมุขของชาติคือพระมหากษัตริย์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เป็นที่มาแห่งเกียรติยศของชาติ แต่กลับโดนโจมตีสถาบันให้มีการยุ่งเกี่ยวกับการเมือง พระองค์ท่านไม่มีอาวุธใดๆ ป้องกัน แต่ทรงใช้บารมีป้องกันการโจมตีเหล่านี้ ตรงนี้เป็นประเด็นหลักที่ประชาชนต้องหาทางให้เกิดความมั่นคงกับสถาบันให้ได้ ตอนนี้มีภัยโจมตีสถาบันมากมาย เพราะมีการนำสถาบันไปเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เหตุการณ์เดือนเมษายน 2553 โดยนำเรื่องเท็จมาหลอกลวง มีการใช้วลีล้มอำมาตย์ มีการใช้อินเตอร์เน็ตโจมตีจาบจ้วงสถาบันมากขึ้น และเมื่อไม่กี่วันมานี้มีการจัดงานวันเกิดเทียบเคียงสถาบัน ตรงนี้คือบ่อนทำลายสถาบัน การล่วงล้ำล่วงเกินสถาบันพระมหากษัตริย์ สมช.ต้องคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร

"สิ่งสำคัญคือกิจกรรมในต่าง จังหวัด เช่น วันอาทิตย์สีแดง แดงสยาม การเดินสายพบประชาชนในภาคต่างๆ เช่น เชียงใหม่ หนองบัวลำภู มุกดาหาร สกลนคร โรงเรียนการเมืองและมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 สมช.ควรขอข้อมูลจากข่าวกรองและผู้ว่าฯ เพราะถือว่าเป็นบ่อนทำลายในประเทศที่เชื่อมกับบ่อนทำลายจากต่างประเทศที่ใช้ สงครามข้อมูลข่าวสารทำการโฆษณาชวนเชื่อหลอกลวง เพราะสถาบันไม่มีโอกาสไปสู้รบปรบมือได้กับเรื่องโกหกส่อเสียดเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ควรเขียนเป็นนโยบายปฏิบัติการเชิงรุกด้านประชาสัมพันธ์ให้ ประชาชนรับรู้"
ส่วนนโยบาย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตอนนี้มีเหตุร้ายเพียง 10 กว่าอำเภอ แต่การเสนอข่าวกลับมองว่ามีเหตุร้ายครอบคลุม 3 จังหวัดชายแดนใต้ทั้งหมด มันเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่ทำให้ประชาชนหวาดกลัว การป้องกันประเทศทางชายแดนที่ยังแก้ไม่สำเร็จ ทั้งที่มีกรรมการหลายชุด ส่วนการแก้ไขปัญหาชายแดนเราประสบความสำเร็จแค่ฝั่งประเทศมาเลเซีย ส่วนฝั่งลาว พม่า กัมพูชา เราไม่ประสบความสำเร็จเลย ฉะนั้นเราควรเจรจากับเขาก่อนมีการประชุม เพื่อทำการล็อบบี้ อย่างที่เราทำสำเร็จกับมาเลเซีย

ที่ผ่านมาทัศนคติ อุดมคติ และแบบเเผนของชาติเพี้ยนไปมาก ไม่ศึกษาข้อเท็จจริง ยึดอัตตา ชอบความสบาย ยอมผู้มีอำนาจ รักความมั่งคั่ง ลัทธินายทุนครอบหัว ฉะนั้นต้องช่วยกันคิดว่าทำอย่างไรจะกลับไปแบบเดิมได้ เราควรพัฒนาระบบราชการไทย ว่ามันเอื้อกับประชาชนหรือไม่ เพราะความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการประจำกับฝ่ายการเมือง สร้างความย่อหย่อนในสังคม
นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ

"ความมั่นคงเป็นนโยบายบูรณาการ"




สมช.มี หน้าที่ตามกฎหมายในการนำเสนอนโยบายและยุทธศาสตร์ต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) คือนโยบายทั่วไปในรอบ 5 ปี และนโยบายเฉพาะเรื่อง โดยมีการรับฟังความเห็นมาตลอดจากภาคส่วนต่างๆ และหลายเรื่องเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม นโยบายความมั่นคงเป็นนโยบายเชิงบูรณาการ ไม่ใช่นโยบายเดียวที่จะป้องกันอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน สภาพแวดล้อมความมั่นคงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต พัฒนาการของเทคโนโลยีที่ผูกโลกเข้าด้วยกัน ปัจจัยทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ การเมืองข้ามชาติ การป้องกันประเทศวันนี้ไม่สามารถจัดการปัญหาบางอย่างได้ในรูปแบบเดิมอีกต่อ ไป

ส่วนประเด็นความมั่นคงของสถาบันนั้น ต้องยอมรับว่าสถาบันได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ แต่ช่วงที่ผ่านมามีการนำสถาบันมาเกี่ยวข้องกับการเมืองและล่วงล้ำ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เมื่อเกิดความขัดแย้งทางการเมืองจะเกิดกลุ่มที่นำสถาบันมากล่าวอ้าง และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการปกครองระบอบนี้มีส่วนน้อย แต่เมื่อโอกาสเปิดก็จะไปแสวงหาประโยชน์เพื่อนำไปสู่ความขัดแย้ง มันจำเป็นที่ต้องแก้ไขปัญหานี้ต่อไป

ส่วนปัญหาความไม่สงบในจังหวัด ชายแดนภาคใต้ ตามที่พรรคเพื่อไทยจะประกาศว่าจะใช้เขตปกครองพิเศษแก้ปัญหาความไม่สงบใน พื้นที่แทนศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) นั้น การบริหารพื้นที่นี้ถูกบริหารในรูปแบบพิเศษมาตลอด คิดว่าการแก้ปัญหานี้อยู่ที่เอกภาพ ประสิทธิภาพ การมีส่วนร่วม รูปแบบต่างๆ ที่เสนอขึ้นมา เช่น ทบวง เขตปกครองพิเศษ ศอ.บต. เป็นต้น สามารถทำได้ทั้งสิ้น หากไปตอบโจทย์และแก้ปัญหาได้ โดยต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมาย สมช.พร้อมพิจารณารูปแบบและโครงสร้างที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอ

"เรื่อง นี้ต้องดูกฎหมาย หากรูปแบบที่พรรคเพื่อไทยเสนอขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ ก็ต้องร่างกฎหมายใหม่ แต่ทั้งนี้ควรดูว่าหากเปลี่ยนรูปแบบนั้นจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดหรือไม่ เพราะในพื้นที่ยังมีเงื่อนไขความรุนแรงและธรรมาภิบาล หากรูปแบบใหม่ที่จะออกมานั้นแก้ปัญหาได้มันก็เดินไปได้และถือเป็นเรื่องที่ ดี คงบอกในตอนนี้ไม่ได้ว่าจะออกมาในรูปแบบใด แต่ตอนนี้ยังอยู่ในรูปแบบ ศอ.บต.ที่ต้องเดินตามไปก่อน"