วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

เบิ่งข้ามโขง “สะพานมิตรภาพ 3” งามตระการตา (มีคลิปวีดีโอให้ชม)

        การก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 คำม่วน-นครพนม แล้วเสร็จไปเกือบ 100% เป็นสัญลักษณ์ใหม่แห่งความสัมพันธ์ร่วมมือกันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันที่สุด และเป็นเส้นทางคมนาคม ขนส่งและการท่องเที่ยวสายใหม่เอี่ยมอ่องในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง

        สะพานที่ก่อสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างไทยกับลาว และด้วยความช่วยเหลือส่วนหนึ่งของรัฐบาลญี่ปุ่นดูหรูหรา ใหญ่โตอลังการ เมื่อมองไปจากฝั่งลาวจะเห็นความโค้งของสะพานตรงที่ทอดข้ามลำน้ำโขง และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จ.นครพนม ที่กำลังก่อสร้างในขั้นตอนสุดท้าย เป็นทรงเรือนไทยประยุกต์ดูงดงามยิ่ง
       พิธีเปิดใช้อย่างเป็นทางการถือเอาเลข “11” (สิบเอ็ด) เป็นฤกษ์ดี ซึ่ง เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นเสมือนตัวแทนความร่วมมืออันเท่าเทียมกันที่ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดในอนุภูมิภาค ทั้งด้านภาษาวัฒนธรรม อาหารการกินและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
       มหาฤกษ์ คือ 11-11-11-11-11 หรือ วันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที
       เมืองท่าแขกเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ดินแดนในภาคกลางตอนบนและภาคเหนือเวียดนาม ตามทางหลวงเลข 12 และทางหลวงเลข 8 ที่ตัดผ่านเขตป่ากับภูเขาหินปูนที่มีทัศนียภาพงดงาม ทางหลวงทั้งสองสายดังกล่าว ตัดเป็นแนวเฉียงเหนือ อยู่เหนือทางหลวงเลข 9 (ไกสอนฯ-แดนสะหวัน-ลาวบ๋าว) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยมีสะพานมิตรภาพ 2 เป็นต้นทาง
       ท่าแขกยังถูกกำหนดให้เป็นจุดเชื่อมต่อทางรถไฟจากเวียงจันทน์ ไปยังเวียดนามในอนาคต ปลายทางอีกด้านหนึ่งคือ ท่าเรือหวุงอ๋าง (Vũng Áng) ที่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ใน จ.ห่าตี๋ง (Hà Tĩnh) เวียดนาม

ภาพข้างบนคือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทางฝั่งไทยเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์หน้าจั่วหลายชั้นดูงามตระการตา บนสุดเป็นยอดเจดีย์พระธาตุพนมสัญลักษณ์ของจังหวัดนครพนม การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ เหลือเวลาอีก 2 เดือนเศษก็จะถึงเวลาเปิดใช้อย่างเป็นทางโดยถือเอามหาฤกษ์ 11-11-11-11-11 เป็นสะพานมิตรแห่งที่ 3 ระหว่างสองประเทศที่ประชาชนมีความใกล้ชิดกันมากที่สุดและคล้ายกันในหลายๆ ด้าน ทั้งการนับถือศาสนา ภาษาพูด อาหารการกินและวิถีการดำรงชีวิต

ภาพทั้งหมดต่อไปนี้นำเสนอโดยเว็บบล็อกสมาคมลาว โดยมองจากฝั่งเมืองท่าแขกเมืองเอกของแขวงคำม่วน และ ฝั่ง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนมของไทย

อาณาบริเวณด้านหน้าของอาคารทรงไทยประยุกต์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยกำลังอยู่ระหว่างการปรับภูมิทัศน์เช่นเดียวกันกับการก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างสุดท้ายของโครงการ อีก 2 เดือนเศษก็จะเปิดใช้อย่างเป็นรทางการ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ระหว่างไทยกับลาว

ภาพถ่ายจากบนสะพานที่สร้างแล้วเสร็จ มองเห็นการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ใกล้แล้วเสร็จเต็มที่ นับจากวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนกับ 11 วันพอดีก็จะถึงกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ระหว่างลาวกับไทยจากทั้งหมด 4 แห่ง

มองไปจากเชิงสะพานอีกด้านหนึ่งจะเห็นอาคารสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปรากฏเป็นสีขาวโพลนโดดเด่นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขง อาคารสำนักงานเป็นสิ่งปลูกสร้างสุดท้ายของโครงการ เหลือเวลาอีก 2 เดือนกับ 11 วัน ก็จะเปิดใช้สะพานอย่างเป็นทางการโดยถือเอามหาฤกษ์ 11-11-11-11-11

เชิงสะพานมิตรภาพนครพนม-ท่าแขก (แขวงคำม่วน) ตั้งอยู่ในเขตนอกเมือง ถัดจากนี้ออกไปไม่ไกลทางฝั่งลาวกำลังจะกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ "ท่าแขกแดนคำ" การขนส่งสินค้าจากโรงงานในแถบนี้จะไปรวมศูนย์อยู่ที่ท่าเรือใหญ่แห่งใหม่ใน จ.ห่าตี๋ง ของเวียดนาม

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทางฝั่งลาวก็ไม่ต่างกัน โชว์ศิลปะแห่งชาติอย่างเต็มที่ บนยอดอาคารไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากยอดเจดีย์พระธาตุหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของลาวลาว การก่อสร้างโดยรามคืบหน้าไปไกลกว่าทางฝั่งไทยอย่างเห็นได้ชัด

สะพานตั้งอยู่นอกเขตเมืองทั้งสองฝั่งแต่ยังมองเห็นชุมชุนที่อยู่ใกล้ที่สุดทางฝั่งลาว และมีภูเขาหินปูนแห่งเมืองคำม่วนอยู่เบื้องหลัง เป็นภูมิทัศน์ที่ดูงดงามตระการตา

ภาพแบบแปลนของสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 ที่ทอดข้ามลำน้ำโขง มองจากฝั่ง จ.นครพนม เห็นภูเขาหินปูนของเมืองท่าแขกอยู่เบื้องหลัง เป็นภูมิทัศน์อันงดงามตระการตา ของจริงก็ไม่ได้แตกต่างกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างบนสะพานซึ่งอยู่ระหว่างการตกแต่งในขั้นตอนสุดท้าย ล้วนเป็นศิลปะประยุกต์ "ทปล- ไทยปนลาว" แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างประชาชนสองชาติ

คลิปวีดีโอข้างบนเป็นการชี้แจงความเป็นมาของโครงการสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน

ความคืบหน้าของการก่อสร้างทางขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 หรือ สะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว ( นครพนม - คำม่วน ) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2553 ขอขอบคุณคลิปวีดีโอขอ leknkp ใน Youtube ด้วย

อะเมซิ่งลาว ใช้ WiMAX ก่อนใคร อินเทอร์เน็ตไวไฟ ไวติดจรวด

         ชาวนครเวียงจันทน์ได้ใช้ไวไฟอินเทอร์เน็ตเทคโนโลยียุคที่ 4 ก่อนใครๆ ในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง รวมทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่งได้เปิดให้บริการในเดือนสิงหาคมนี้ และทำให้ลาวกลายเป็นประเทศที่มีระบบเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตด้วยความเร็วสูงติดอันดับโลกแซงหน้าสิงคโปร์     

       บริษัท พลาเน็ตคอมพิวเตอร์ (Planet Computer) ที่ให้บริการอินเตอร์เน็ตในลาวมานานปี ได้เริ่มให้บริการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตไร้สายยุคที่ 4 (4G) โดยใช้เทคโนโลยี WiMAX ที่สามารถให้ดาวน์โหลดข้อมูลได้เร็วถึง 100 Mbps สูงกว่ามาตรฐานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 5-10 เท่า
       ตามข้อมูลในปัจจุบัน สิงคโปร์มีระบบอินเตอร์เน็ตเร็วเป็นอันดับที่ 6 ของโลก แต่ก็ยังอยู่ในระดับ “3.5G” เท่านั้น ลาวยังแซงหน้าเวียดนาม ประเทศที่บริการโทรคมนาคมเติบโตสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลกและกำลังทดลองใช้ WiMAX อยู่ในปัจจุบัน
       บริษัท พลาเน็ตฯ ให้บริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงโดยร่วมทุนกับหลายบริษัทจากยุโรป เปิดแนะนำเทคโนโลยีล่าสุดนี้ที่โรงแรมดอนจันทน์พาเลซ ผู้บริหารกล่าวว่า จะขยายต่อไปยังหัวเมืองใหญ่ทุกภูมิภาค คือ สะหวันนะเขตกับจำปาสัก ในภาคใต้ คำม่วนในภาคกลางกับหลวงพระบางในภาคเหนือ
       บริษัทนี้ไม่ได้หวังจะมีผู้ใช้บริหารมากมายในทันทีและจะให้บริการเชื่อมต่อชั้นต้นด้วยความเร็ว 10 Mbps ซึ่งเป็นระยะปรับใช้กับระบบปัจจุบัน เนื่องจากข้อจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ที่มีอยู่ในตลาด แต่ระบบ WiMAX ที่ติดตั้ง สามารถปรับความเร็วเป็น 100 Mbps ได้ทุกเมื่อ
       เทคโนโลยี WiMAX ให้บริการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไร้สายที่เรียกว่า End to End Internet Mobile Data ออกจากแหล่งไปยังผู้ใช้บริการโดยตรง ทำให้เชื่อมต่อกับโลกกว้างได้ในทุกสถานที่ ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับการประชุมทางไกลหรือดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่มากโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเคลื่อนไหว
       เทคโนโลยีนี้ทำให้ส่งสัญญาณเป็นคลื่นความถี่สูงยิ่งได้ไกลถึง 50 กม.จากต้นทางไปยังสถานีปลายทาง และ 5-15 กม.จากสถานีบริการไปยังผู้ใช้ เทียบกับมาตรฐาน WiFi/802.11 ในปัจจุบันที่มีรัศมีใช้งาน 30-100 ม. นอกจากนั้นการเชื่อมต่อด้วย WiMAX ยังสามารถปรับใช้ได้กับอินเตอร์เน็ตยุคที่ 3 ในปัจจุบันได้
       ลาวยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยี WiMAX แต่เมื่อมองดูตลาดจะเห็นการแข่งขันที่สูงมาก และชาวลาวยังได้ชื่อว่า มีอินเตอร์เน็ต 3G ใช้ก่อนใครๆ ในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงตั้งแต่หลายปีก่อน เชื่อกันว่า WiMAX ออกมาเพื่อจับตลาดกลุ่มลูกค้าที่ใช้แท็บเล็ตพีซี ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาด และในอนาคตอุปกรณ์เหล่านี้จะต้องการการเชื่อมต่อไร้สายที่มีความเร็วสูงขึ้น
       ทั้งประเทศมีประชากรราว 6 ล้าน แต่สถิติของทางการชี้ว่าในปัจจุบันมีประมาณ 5% เท่านั้นที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นตัวเลขที่ท้าทายสำหรับนักการตลาด

จากภาพแผนภูมิจะแสดงการทำงานของเทคโนโลยีไวแม็กซ์ ข้อมูลบอกว่าเวอร์ชั่นนี้ (2553) สามารถดาวน์โหลดด้วยความเร็วถึง 70 Mbps ในรัศมี 1-10 กม.ในเขตเมือง การสื่อสารในโลกนี้จะไม่เหมือนเดิม ชาวลาวได้เล่นกับความเร็วระดับ 4G เป็นเจ้าแรกอีกแล้ว

กาแล็กซี่แท็บ 10.1 ของซัมซุง กับไอแพด (iPad) ของแอปเปิ้ล กำลังช่วงชิงกันทั้งรูปโฉมกับความสามารถของเครื่องและราคา ประชาคมออนไลน์ทั่วโลกกำลังก้าวเข้ายุคของแท็บเล็ตพีซีอย่างเต็มตัว วันหนึ่งข้างหน้าอุปกรณ์พวกนี้จะต้องการความเร็วในการเชื่อมต่อที่สูงขึ้น อินเตอร์เน็ตในลาวได้ก้าวไปรออยู่ที่จุดนั้นแล้ว.-- REUTERS/Jo Yong-Hak.

ในโลกของสมาร์ทโฟนก็ไม่ต่างกัน วันข้างหน้าจะต้องพัฒนาไปรองรับเทคโนโลยี 4G พร้อมที่จะเชื่อมต่อกับโลกกว้างได้ในทุกที่ทุกเวลา ไร้สายและด้วยความเร็วสูงสุด อินเตอร์เน็ตในลาวได้ก้าวไปรอที่จุดนั้นแล้วตั้งแต่เดือนนี้.-- REUTERS/Jo Yong-Hak.

ปรับปรุงบทความจาก http://www.manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9540000110331

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภากัน

 

ตราคณะรัฐมนตรี

 

วันที่ 23-24 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมาเป็นวันที่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นการเปิดฉากการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ

นักวิชากวรอิสระอย่างผมขอนำเสนอบางประเด็นที่น่าสนใจต่อนโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามผลการทำงานของรัฐบาลหรืออาจจะเป็นความรู้ทางการศึกษาของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจก็ได้

เริ่มกันที่ “ทำไม?ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

ผมขอตอบว่าเจอการผูกมัดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่เราฉีกกันเป็นว่าเล่นครับ

โดยรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้ระบุเรื่องนี้ไว้ในมาตรา 176 ว่าเมื่อได้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแล้ว จะต้องแถลงนโยบายต่อหน้ารัฐสภาก่อนจะเข้าบริหารประเทศ ยกเว้น “มีกรณีสำคัญและเร่งด่วนจริงๆ เท่านั้น” ครับ(ไม่ทราบตอนไหนที่เรียกว่าเร่งด่วนหรือฉุกเฉินเหมือนกันคงจะต้องถึงกับมีสงครามโลกหรือสงครามกลางเมืองมั้งครับ)

มาตรา 176 คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และชี้แจงการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามมาตรา 75 โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายใน 15 วันนับแต่วันเข้ารับหน้าที่ และเมื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการแต่ละปีตามมาตรา 76

ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่ จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้

หากอธิบายในภาษาง่ายๆ การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นการบอกว่า “รัฐบาลจะทำอะไรบ้างในช่วงอายุของรัฐบาล 4 ปี” และรัฐบาลมีหน้าที่ทำงานตามแนวทางที่แถลงไว้ในระยะเวลาทั้งหมดที่บริหารประเทศ ถึงแม้จะดูเป็นงานพิธีการที่ไม่มีประโยชน์โดยตรง แต่มันเปรียบเสมือนการกำกับดูแลแนวทางของรัฐบาลให้ทำตามที่ตัวเองสัญญาไว้

ส่วนที่ต้องแถลงต่อรัฐสภานั้น ก็เพราะเปรียบรัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ตามหลักการของ “ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน(Representative Democracy Regime)” นั่นเอง (ในปัจจุบัน “ยุคทุนนิยมดอทคอม” ประชาชนที่สนใจก็สามารถรับฟังการแถลงนโยบายได้โดยตรงหรือหาโหลด หาอ่านตามเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้ด้วย)

แล้ว "เนื้อหาของนโยบายเอามาจากไหน?ล่ะครับ"

เนื้อหาในนโยบายของรัฐบาลจะผสมผสานกันระหว่าง “แนวนโยบายแห่งรัฐ” ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กับ “นโยบายของพรรคการเมือง” ตามที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้ในช่วงการเลือกตั้ง

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เขียนเรื่องนี้ไว้ในหมวดที่ 5 โดยระบุว่าคณะรัฐมนตรีจะต้องระบุว่าจะดำเนินนโยบายอะไรบ้าง ในกรอบเวลาอย่างไร และหลังจากดำเนินการไปแล้วทุกๆ 1 ปีจะต้องแถลงผลงานต่อสภาด้วยครับ

“มาตรา 75 บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นเจตจำนงให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน

ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องชี้แจงต่อรัฐสภาให้ชัดแจ้งว่าจะดำเนินการใด ในระยะเวลาใด เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคเสนอต่อรัฐสภาปีละ 1 ครั้ง

มาตรา 76 คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อแสดงมาตรการและรายละเอียดของแนวทางในการปฏิบัติราชการในแต่ละปีของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน

เพราะฉะนั้นในเนื้อหานโยบายตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้กำหนด “แนวนโยบายแห่งรัฐ” เปรียบเสมือน “แนวทาง” หรือ นโยบายในภาพกว้างที่รัฐบาลไหนๆ ก็ต้องปฏิบัติตามนี้ ส่วนแผนงาน แผนปฏิบัติการว่าจะทำอย่างไร เป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐบาลจะเสนอผ่านการแถลงนโยบายนั่นเอง ส่วนของ “แนวนโยบายแห่งรัฐ” อยู่ในมาตรา 77-87 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งก็แบ่งแนวนโยบายออกเป็นหลายด้าน(9 ด้าน) เช่น ความมั่นคงของรัฐ การบริหารราชการแผ่นดิน ศาสนา สังคม สาธารณสุข การศึกษา ต่างประเทศ ที่ดิน ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม กฎหมาย เศรษฐกิจ พลังงาน เป็นต้น (ศึกษาเพิ่มเติม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/A/047/1.PDF )

มาดูนโยบายรัฐบาล “' ปู ยิ่งลักษณ์ ' ว่าเป็นยังไง?

เว็บไซต์รัฐบาลไทยได้เผยแพร่คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้จาก http://spm.thaigov.go.th/multimedia/warapornc/policy/Policy-Yingluck28.pdf

เหตุผลก่อนแถลงนโยบายครับ “การที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่สำคัญ 3 ประการ คือ

1.การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงไม่สามารถก้าวพ้นวิกฤตได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ไปสู่ศูนย์กลางใหม่ทางทวีปเอเซียในระยะยาว 2.การเปลี่ยนผ่านทางด้านการเมือง ความขัดแย้ง ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีผลต่อความเชื่อมมั่นทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาผูกโยงกับภาวะเศรษฐกิจโลก

อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งดังกล่าวมีผลกระทบต่อการวางพื้นฐานเพื่ออนาคตในระยะยาว และทำให้สูญเสียโอกาสในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 3.6% ซึ่งต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และ 3.การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างประชากรและสังคมไทย โครงสร้างดังกล่าวของไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่สังคมผู้สูงอายุจะมีผลต่อปริมาณ และคุณภาพของคนไทยในอนาคต นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะยึดหลักการบริหารที่มีความยืดหยุ่น ที่คำนึงพลวัตรการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล” (นี่คือการอ้างที่มาที่ไปของการจะแถลงนโยบายซึ่งเป็นแค่อารัมภบทเฉยๆครับโดยส่วนตัวของผมไม่ใช่สาระทางวิชาการ)

"นโยบายของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ภายในประเทศมากขึ้น ประการที่สอง เพื่อนำประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของ หลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อ ประชาชนคนไทยทุกคน ประการที่สาม เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม และการเมือง และความมั่นคง"

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และระยะการบริหารราชการ 4 ปี เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ สมดุล ยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

"นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก" คือ

1.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ เยียวยาและฟื้นฟูทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงตั้งแต่ช่วงปลายการใช้รัฐธรรมนูญ 2540 สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างเป็นอิสระ

2.กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น "วาระแห่งชาติ"

3.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง

4.ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน

5.เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยน้อมนำกระแสพระราชดำรัส "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เป็นหลักปฏิบัติ

6.เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ

7.แก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราวเพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงทันที ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ดูแลราคาสินค้าและการมีรายได้ ป้องกันและแก้ไขการผูกขาดทั้งทางตรงและทางอ้อม

8.ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ พักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท อย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน 500,000 บาท ทำให้แรงงานมีรายได้เป็นวันละไม่น้อยกว่า300 บาท ผู้จบปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท จ่ายเบี้ยสูงอายุแบบขั้นบันได อายุ 60 - 69 ปี 600 บาท , อายุ 70 - 79 ปี 700 บาท , อายุ 80 - 89 ปี 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาท ลดภาษีบ้านหลังแรก และรถยนต์คันแรก

9.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556

10.ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเพิ่มเงินทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกแห่งละ 1 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี วงเงินเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้วงเงิน 1,000 ล้านบาท ต่อสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมโครงการ จัดสรรงบประมาณเข้ากองทุน เอสเอ็มแอล 300,000 , 400,000 และ 500,000 บาท ตามขนาดหมู่บ้าน

11.ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน เริ่มจากการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ เกวียนละ 15,000 บาท และ 20,000 บาท จัดทำทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรและการออกบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร

12.เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ โดยประกาศให้ปี 2554 - 2555 เป็นปี "มหัศจรรย์ไทยแลนด์" และประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าร่วมเฉลิมฉลองในพระราชพิธีมหามงคลที่จะมีขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2554 - 2555

13.สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน

14.พัฒนาระบบประกันสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ให้ทุกคนได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ สะดวก รวดเร็วและเป็นธรรม

15.จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ให้แก่โรงเรียน เริ่มในโรงเรียนนำร่องแก่นักเรียน ป.1 ปีการศึกษา 2555

16.เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ประธานเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ

"นโยบายที่จะดำเนินการภายในช่วงระยะ 4 ปี"(ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญครับ) จะดำเนินนโยบายหลักตามข้อ 2-8 ดังนี้

2.นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ ที่สำคัญคือ เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ น้อมนำพระราชดำริทั้งปวงไว้เหนือ เกล้าเหนือกระหม่อม พร้อมทั้งอัญเชิญไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม

3.นโยบายเศรษฐกิจ กระจายรายได้ที่เป็นธรรม ปรับโครงสร้างภาษีอากรทั้งระบบ มีนโยบายสร้างรายได้จากการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในเวลา 5 ปี ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอาหาร มีนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

ส่วนนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน จะพัฒนาระบบขนส่ง ประปา ไฟฟ้าให้กระจายไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง เพียงพอ ขยายการให้บริการน้ำสะอาดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ พัฒนาระบบรถ ไฟทางคู่เชื่อมชานเมือง+หัวเมืองหลัก พัฒนารถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯเชียงใหม่ กรุงเทพฯ - นครราชสีมา กรุงเทพฯ - หัวหิน และเส้นทางเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้าน ศึกษาและพัฒนาขยายทางรถไฟสายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังชลบุรีและพัฒนา เร่งรัดโครงสร้างรถไฟฟ้า 10 สายทางใน กทม.และปริมณฑล ให้เริ่มก่อสร้างได้ครบใน 4 ปี ค่าบริการ 20 บาทตลอดสาย

4.นโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต กระจายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงทุกกลุ่มจัดโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต ส่งเสริมให้แรงงานเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตำแหน่งว่างงานโดยสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพประกันสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ จนถึงวัยชรา และผู้พิการ สร้างหลักประกันความมั่นคงในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ

5.นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ ทรัพยากรทางทะเล สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ

6.นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม เร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยและครูวิทยาศาสตร์ให้เพียงพอ ส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศมุสลิม และองค์กรอิสลามระหว่างประเทศ

7.นโยบายการต่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เร่งส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติในองค์กรระหว่างประเทศ

8.นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พัฒนาระบบราชการ สร้างเสริมมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ธรรมาภิบาลรวมถึงปฏิรูประบบกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ให้ทันสมัย สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย เร่งรัดจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติรรมที่ดำเนินการโดยอิสระ และปรับปรุงระบบการช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรมโดยง่าย ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข่าวสารจากทางราชการ สื่อสารมวลชนและสื่อสาธารณะ

สุดท้ายยังไงนโยบายทั้งหมดที่คณะรัฐมนตรีได้นำเสนอมานี้ถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงเจตจำนงของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ในหมวด 5 ที่ ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เพื่อจะได้เร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยจัดทำรายละเอียดการดำเนินการ ประกอบด้วย แผนการบริหารราชการแผ่นดินแผนปฎิบัติราชการของส่วนราชการต่างๆและแผนการตรากฎหมาย(แผนนิติบัญญัติ) เพื่อเป็นแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป

ปล.ผม “นักวิชากวรอิสระ” นำมาเผยแพร่คงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจนะครับแล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ “สวัสดีครับ”

ลีชุนยุง(Li Ching-Yuen) อายุ 256 ปี

โดย นักวิชากวรอิสระ

เราควรมีอายุได้เท่าไหร่?
เมื่อทุกคนเริ่มย่างเข้า 40 จะเริ่มสนใจเรื่องชะลอความแก่ โดยเฉพาะถ้ายังรู้สึกดีๆกับชีวิต มีมุมมองดีๆกับชีวิต รวมทั้งอยากใช้ชีวิตทำอะไรดีๆเพิ่ม หลายคนเริ่มถามหาเทคนิควิธีหรือหยูกยาบำรุงร่างกาย และสนใจการมีอายุยืนแบบแข็งแรง ไม่ใช่สักแต่ยืดอายุเพื่ออมโรคไปเรื่อยๆราวกับคนคุกที่ถูกทรมานอย่างไร้กำหนดพ้นโทษ
สำหรับคนทั่วไปที่ไม่มีวิบากจ้องเล่นงานโดยเฉพาะ นาฬิกาชีวิตอาจยืดหดได้นิดหน่อยหรือมากหน่อย นักวิทยาศาสตร์ยุคเราศึกษาและค้นคว้าพบว่าโดยธรรมชาติของร่างกายคนเราสามารถมีอายุยืนยาวได้ประมาณ 120 ปี แต่ถ้าไม่รู้จักวิธีการดูแลร่างกายให้ถูกต้อง หรือโดนสภาพแวดล้อมพ่นพิษใส่มากๆเข้า ก็อาจเน่าเปื่อยลงเมื่อประมาณ 70 ดังที่ทราบๆกันว่าเป็นอายุขัยเฉลี่ยของปัจจุบัน

แต่ความจริงมีมาแล้ว คือนายลีชุนยุง ชาวจีนผู้เกิดในปี ค.ศ.1677(พ.ศ.2220) และตายในปี ค.ศ.1933(พ.ศ.2476) สิริรวมอายุได้ 256 ปี!

เขาเป็นผู้ลบล้างความเชื่อหลายต่อหลายประการ นับแต่ความเชื่อว่าคนเราควรมีอายุได้สูงสุดไม่เกิน 120 ตลอดไปจนกระทั่งความเชื่อว่าคนแก่ต้องหลังโก่ง ผิวหนังเหี่ยวย่นเสมอ เพราะจนตายนายลีก็ยังสุขภาพแข็งแรง หลังตรง หนังตึง สายตาไม่ฝ้าฟาง เส้นผมกับฟันยังเป็นของแท้ตามธรรมชาติ ไม่มีใครเห็นเขามีสภาพเกินชายวัย 50 เลยด้วยซ้ำ!

รัฐบาลจีนรับรู้ว่าลีชุงยุนมีตัวตนตอนเขาอายุ 150 คือมีคนของทางการพบเห็นและให้คำรับรองได้ว่าเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่เขายังคงอยู่ต่อมาได้อีกกว่าศตวรรษ เพราะฉะนั้นอย่างน้อยที่สุดเขาจะต้องมีอายุเกินธรรมดาไปมากๆ เมื่อประกอบกับหลักฐานแสดงความมีตัวตนในช่วงศตวรรษที่ 17 ก็พอทำให้เชื่อมั่นว่ากรณีของนายลีไม่ใช่การปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาแน่ๆ

นายลีเน้นการประพฤติปฏิบัติตนไว้หลายอย่าง นับแต่การรู้จักมีอิริยาบถที่ถนอมสภาพความเยาว์วัยไว้นานๆ เช่นกล่าวเชิงอุปมาอุปไมยให้นั่งนิ่งเหมือนเต่าหมอบ เดินเหินปราดเปรียวกระฉับกระเฉงเหมือนนกพิราบ นอนหลับสนิทเหมือนสุนัข แล้วก็มีหัวใจที่สงบเงียบในการดำรงชีวิต

นอกจากนั้นนายลียังเป็นมังสวิรัติ แล้วก็เป็นคนรอบรู้ในเรื่องการใช้สมุนไพรอย่างหาตัวจับได้ยาก คือเชี่ยวชาญเกี่ยวกับยาอายุวัฒนะ ประเภทที่ทำให้ธาตุไฟภายในยังทำงานเผาผลาญ ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทตื่นตัวได้ตลอด เขากินอาหารสมุนไพรทุกวันจนตาย นักวิทยาศาสตร์เอามาวิเคราะห์ดูก็พบว่าเป็นอาหารจำพวกกรดอะมิโนในธรรมชาติซึ่งร่างกายผลิตได้เองอยู่แล้ว แถมยังเจอดาษดื่นในอาหารที่เราๆกินกันนี่แหละ ความแตกต่างคือสารช่วยยืดอายุเหล่านั้นถูกทำลายไปในขณะปรุงอาหารเสียหมด คนทั่วไปเลยชะลอนาฬิกาชีวิตไม่ค่อยอยู่ ทั้งวิธีการดำรงชีวิตและการใช้ยาอายุวัฒนะ รวมกันทำให้ลีชุงยุนไม่รู้จักแก่ และเป็นการเลือกมีอายุยืนด้วยความจงใจ มิใช่ความบังเอิญ

การมีตัวตนอยู่จริงของลีชุนยุงบอกเราว่าถ้าอยากอยู่นานจริงๆ อีกทั้งแข็งแรงปราศจากความร่วงโรยของสังขาร ก็ต้องมีวิธีดำรงชีวิตด้วยความแตกต่างจากการปล่อยปละเลยตามเลย ไม่ว่าจะเรื่องของการเดินเหิน ไม่ว่าจะเรื่องของหยูกยาอาหาร ล้วนแล้วแต่ประคองให้ร่างนี้อยู่ได้เกินสองร้อยปี หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ต่ำกว่า 120 ปี ไม่ใช่แค่ 40 ก็เตรียมจอดเหมือนอย่างหนุ่มสาวหลายต่อหลายคนในยุคปัจจุบัน

ลองจินตนาการดู หากเราเป็นคนใกล้ชิดของนายลีในช่วงที่เขาอายุสักร้อยเศษ เกิดมาก็เห็นนายลีมีอายุมากแล้ว แต่พอเราอายุมากขึ้นจนเกือบ 60 รอมร่อ นายลีก็ไม่ตายสักที แถมดูดีกว่า แข็งแรงกว่า ทำอะไรได้มากกว่าเราเสียอีก เราคงไม่คิดอย่างไรอื่นนอกจากเห็นเขาเป็นมนุษย์อมตะ และเมื่อเราถึงเวลาปิดฉากชีวิตขณะอายุสัก 70 ก็คงตายไปพร้อมกับความเชื่อว่าชีวิตอมตะมีจริง มนุษย์ที่ไม่รู้จักแก่ ไม่รู้จักตายมีจริง แถมแข็งแรงและธาตุยังดีขนาดมีเมียได้เรื่อยๆถึง 24 คน

ทว่าเราอยู่ในยุคที่ลีชุนยุงล่วงลับไปแล้ว ก็ต้องมาถึงจุดสรุป ถึงจุดที่เห็นตามจริงว่า ชีวิตนั้น ต่อให้ชะลอยืดยาวออกไปเพียงใด ในที่สุดก็ต้องพบกับสัจจธรรมเหมือนกันหมด คือต้องมอดม้วยมรณังกันถ้วนหน้า มนุษย์อายุยืนที่สุดในโลกเช่นนายลีชุนยุงเหมือนเกิดมาเพื่อยืนยันแทนธรรมชาติ ว่าสัจจะสูงสุดข้อแรกของการเป็นมนุษย์คือ อย่างไรก็ต้องตายแน่ๆ

อายุขัยที่แตกต่างทำให้แต่ละคนมีเวลาสั่งสมกรรมผิดแผกจากกัน นอกจากนั้นยังมีโอกาสสั้นยาวไม่เท่ากันในอันที่จะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับชีวิต สุดแต่ใครจะคิดว่าความจริงสูงสุดอยู่ที่ไหน ควรใช้เวลาในชีวิตเพียงใดเพื่อเข้าให้ถึงความจริงนั้น

ดูเพิ่มเติมได้ที่

http://www.106familynews.com/magazine_file/PDF_14/lercher.pdf

http://dungtrin.com/whatapity/10.htm

 

วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Magna Carta : Ironclad ทัพเหล็กโค่นอํานาจ

ในศริสศตวรรษที่ 13 พระเจ้าจอห์น กษัตริย์อังกฤษผู้บ้าอำนาจถูกขุนนางและพ่อค้าวานิชตามหัวเมืองกดดันให้เซ็นสัญญา “แมคนาคาร์ตา” เพื่อที่จะมอบสิทธิ์ให้ทุกคนได้มีอิสระภาพในการปกครองตัวเอง แต่อีกไม่กี่เดือนต่อมา พระเจ้าจอห์น ก็เปลี่ยนใจและรวบรวมกองกำลังสุดเหี้ยมบุกเข้าหัวเมืองต่างๆ เพื่อยึดอำนาจกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง ก็เหลือเพียงแต่กลุ่มอัศวินโต๊ะกลมกลุ่มเล็กๆที่ยึด ปราสาทโรเชสเตอร์เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายเท่านั้น ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความยุติธรรมและอิสรภาพของทุกคน

 

ที่กล่าวมานี่คือเนื้อหาในภาพยนตร์ Ironclad หรือ ทัพเหล็กโค่นอำนาจ เท่านั้นแต่ใจความที่ผมจะนำเสนอคือ มหาเอกสาร หรือ Magna Carta และตำนาน พระเจ้าจอห์นอันโหดเหี้ยม

clip_image006

clip_image004clip_image002

เริ่มต้นด้วยพระเจ้าจอห์นเนี่ยเป็นพวกบ้าอำนาจและด้วยความบ้านี้ เลยมีนิสัยบ้าสงคราม พระเจ้าจอห์นเลยรีดภาษีหนักมากแบบว่าในประวัติศาสตร์อังกฤษเนี่ย ยกให้รายนี้เทพสุดในเรื่องการรีดภาษีเลยทีเดียว ว่ากันว่าในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 และพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ผู้เป็นบิดาและพี่ชายนั้นมีรายได้จากการเก็บภาษีปีล่ะ 20000-25000 ปอนด์ แต่ท่านนี้รีดเลือดมาได้ถึงปีล่ะ 64000 ปอน์ด!!!

ขนาดมีตำนานว่า ครั้งหนึ่งเพื่อรีดภาษีจากเศรษฐียิวคนหนึ่งที่งกไม่ยอมจ่าย ตามที่โดนรีดเก็บถึง 6000 ปอน์ดในปีนั้น มีรับสั่งให้จับง้างปากแล้วถอนฟันมันสดๆ วันล่ะซี่จนฟันเกือบหมดปากตานี้เลยยอมจ่าย(คงเกือบหมดตัวเลยล่ะ) ทว่าแม้นจะรีดภาษีแค่ไหนแต่ก็รบแพ้ตลอด ถึงขั้นเสียดินแดนเดิมบางส่วนด้วยซ้ำ (ที่สำคัญรายนี้ไม่เหมือนพี่รึพ่อ ชอบสั่งทหารไปรบแต่ตนไม่ออกไปรบด้วย..)

แน่นอนนานวันเข้าบรรดาขุนนางและเศรษฐีที่โดนรีดภาษีอย่างหนัก (ยุคนั้นประชาชนแทบทั้งหมดไม่มีกรรมสิทธ์ในที่ดินกันหรอก ว่าง่ายๆ ที่ดินเกือบทั้งประเทศเป็นของขุนนางและเศรษฐี ระบบฐานันดร(ศักดินา – feudalism) แบบสุดๆไปเลย จึงรวมหัวกันว่าจะกบฏกันเถอะ แต่ว่าดันขาดสิ่งสำคัญนั้นคือ ธีมหลักที่จะใช้ปลุกระดมให้คนอื่นไปตายแทน และอ้างความชอบธรรมในการกบฏ ก่อนหน้านั้นมุกสุดฮิตในการอ้างคือ มุกอ้างสิทธิต่อสู้เพื่อความชอบธรรมในการครองบรรลังก์ ของเจ้าชายพระองค์ใดสักองค์ แต่ว่าตอนนั้นหาคนที่ดีๆชื่อเสียงหล่อๆเป็นหัวโขนชูโรงไม่ได้สักคน...

หลังการรวมหัวกันก็ได้ไอเดียหนึ่ง สมกับที่มีคำกล่าวว่าหลายๆหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ก็สรุปธีมหลักในหนนี้ว่า "การต่อสู้เพื่อการปฎิรูปเพื่อเสรีภาพ" ซึ่งมุกนี้ได้ผลครับสามารถปลุกระดมได้ดี ในที่สุดพระเจ้าจอห์นที่เห็นท่าว่า ขืนสู้ต่อมีแววหัวกุดเลยยินยอมแสร้งลงนามในกฏบัตรนี้ ณ ทุ่ง runnymede ในวันที่ 15 เดือน มิถุนายน ค.ศ.1215

แมคนา คาร์ตา เป็นภาษาละตินแปลว่า กฏบัตรใหญ่ หรือ มหากฎบัตร หรือ มหาเอกสาร เป็นกฏบัตรที่ตราขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1215 ในประเทศอังกฤษในสมัยพระเจ้าจอห์น (ตรงกับช่วงอยุธยาตอนปลาย) แมคนา คาร์ตา มีอิทธิพลต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนกฏบัตรสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน

รัฐบาลที่กดขี่ของพระเจ้าจอห์นอีกทั้งความล้มเหลวในการยึดนอร์มังดีกลับคืนมา มีผลให้เกิดการถูกต่อต้านจากกลุ่มขุนนางซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ กลุ่มขุนนางได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่รันนีมีด (Runnymede) และบังคับให้ทรงลงพระปรมาภิไธยประทับทรงประทับพระราชลัญจกร บน มหากฎบัตร (แมกนาคาร์ตา) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 1758 ซึ่งเป็นรากฐานแห่งรัฐธรรมนูญของประเทศอังกฤษในเวลาต่อมา การปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นส่วนสำคัญในการชักนำให้เกิดสงครามขุนนาง

เนื้อหาหลักในมหากฏบัตร กล่าวถึง สิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของเสรีชน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในชนชั้นหรือวรรณะใดก็ตาม และพระเจ้าแผ่นดินจะต้องมอบสิทธินี้ ให้กับขุนนางหรือผู้ครอบครองที่ดิน และขุนนางนั้น จะต้องมอบสิทธิให้กับพลเมืองหรือไพร่ในสังกัด โดยพลเมืองทุกคนจะไม่ถูกกดขี่ พ่อค้าและชาวนา ไม่จำเป็นต้องมอบสินค้าบางส่วนหรือผลิตผลทางเกษตร(มอบส่วย ค่าฤชา ธรรมเนียม)ให้กับขุนนางหรือพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าคุ้มครอง

เนื้อความในส่วนหนึ่งของมหากฏบัตร ระบุว่า "จะไม่มีบุคคลที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยปราศจากอิสรภาพ หรือถูกยึด ขู่กรรโชก ทรัพย์สิน โดยปราศจากคำตัดสินของศาล" นอกจากนี้มีในมหากฏบัตร ยังได้กล่าวถึง การเรียกเก็บภาษีของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเรียกเก็บภาษีตามพระราชหฤทัย โดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากสภาบริหารราชการแผ่นดิน (The Great Council of the Nation) มิได้

แต่อีกนัยยะหนึ่งในกฏบัตรนี้มี 63 มาตราซึ่งทั้งหมดล้วนเขียนจากความไม่พอใจที่มีต่อการปกครองโดยกษัตริย์ก็เช่น"เราจะไม่ขายไม่ปฏิเสธหรือหน่วงเหนี่ยวความยุติธรรมต่อผู้ใด" ทว่าโดยเนื้อแท้ของมันแล้ว ก็ยังคงสะท้อนในมาตราต้นๆซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่อง การเก็บภาษีและกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเจ้าของที่ดิน และบรรดาภรรยาหม้ายของพวกเขาและการกำหนดค่าโอนภาษีมรดก โดยสรุปย่อๆแล้วทั้ง 63 มาตรา ล้วนแต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ ของบรรดาเหล่าขุนนางและพ่อค้าวานิชเกือบทั้งสิ้น มีเพียง 2 มาตราที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นชนส่วนมากในยุคนั้นคือมาตราว่าด้วย "ห้ามลงโทษผู้ใดรวมทั้งทาส โดยทำให้หมดช่องทางทำมาหากิน และการปรับหรือลงโทษดังกล่าว ต้องกระทำโดยรับฟังคำสัตย์สาบาน ของเพื่อนบ้านที่เป็นคนซื่อสัตย์" และ "ข้าแผ่นดินทุกคนของอาณาจักร ล้วนดำรงไว้ซึ่ง ประเพณีและเสรีภาพ"

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีการระบุไว้ว่าจะมีวิธีบังคับใช้จริงซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษเช่นไรและแม้ว่า ส่วนหนึ่งของมหากฏบัตร ที่กล่าวว่า "จะไม่มีบุคคลที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยปราศจากอิสรภาพ หรือถูกยึด ขู่กรรโชก ทรัพย์สินโดยปราศจากคำตัดสินของศาล" ทว่ากลับกล่าวว่าสิทธิเหล่านั้น เป็นของ"อิสรชน"ไม่ใช่สิทธิของคนชั้นชนล่างที่ไร้ที่ดินและทาสซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกท่านคงถามว่ามันตราขึ้นเพื่อใครกันแน่ครับ หรือเพราะนี่คือนิสัยของพวกที่อ้างว่าจะทำเพื่อเสรีภาพและความชอบธรรมของประชาชน หรือเพื่ออะไรบางอย่างแล้วมาเขียนกฏหมาย หรือมาชุมนุมประท้วงเรียกร้องอะไรเนี่ย มักจะมีผลประโยชน์ซ้อนเร้น(Hidden Agenda)ทั้งนั้น

“เพราะเนื้อแท้ของการเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ มันเป็นธรรมชาติของการเมืองก็ว่าได้”