วันที่ 23-24 สิงหาคม 2554 ที่ผ่านมาเป็นวันที่คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ซึ่งเป็นการเปิดฉากการทำงานของรัฐบาลอย่างเป็นทางการ
นักวิชากวรอิสระอย่างผมขอนำเสนอบางประเด็นที่น่าสนใจต่อนโยบายของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามผลการทำงานของรัฐบาลหรืออาจจะเป็นความรู้ทางการศึกษาของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและผู้สนใจก็ได้
เริ่มกันที่ “ทำไม?ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ”
ผมขอตอบว่าเจอการผูกมัดโดยกฎหมายรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดที่เราฉีกกันเป็นว่าเล่นครับ
โดยรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2550 ได้ระบุเรื่องนี้ไว้ในมาตรา 176 ว่าเมื่อได้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีแล้ว จะต้องแถลงนโยบายต่อหน้ารัฐสภาก่อนจะเข้าบริหารประเทศ ยกเว้น “มีกรณีสำคัญและเร่งด่วนจริงๆ เท่านั้น” ครับ(ไม่ทราบตอนไหนที่เรียกว่าเร่งด่วนหรือฉุกเฉินเหมือนกันคงจะต้องถึงกับมีสงครามโลกหรือสงครามกลางเมืองมั้งครับ)
“ มาตรา 176 คณะรัฐมนตรี ที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และชี้แจง การดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐตามมาตรา 75 โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายใน 15 วัน นับแต่วันเข้ารับหน้าที่ และเมื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้วต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการแต่ละปีตามมาตรา 76
ก่อนแถลงนโยบายต่อรัฐสภาตามวรรคหนึ่ง หากมีกรณีที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งหากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สำคัญของแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีที่เข้ารับหน้าที่ จะดำเนินการไปพลางก่อนเพียงเท่าที่จำเป็นก็ได้ ”
หากอธิบายในภาษาง่ายๆ การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเป็นการบอกว่า “รัฐบาลจะทำอะไรบ้างในช่วงอายุของรัฐบาล 4 ปี” และรัฐบาลมีหน้าที่ทำงานตามแนวทางที่แถลงไว้ในระยะเวลาทั้งหมดที่บริหารประเทศ ถึงแม้จะดูเป็นงานพิธีการที่ไม่มีประโยชน์โดยตรง แต่มันเปรียบเสมือนการกำกับดูแลแนวทางของรัฐบาลให้ทำตามที่ตัวเองสัญญาไว้
ส่วนที่ต้องแถลงต่อรัฐสภานั้น ก็เพราะเปรียบรัฐสภาเป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ ตามหลักการของ “ระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน(Representative Democracy Regime)” นั่นเอง (ในปัจจุบัน “ยุคทุนนิยมดอทคอม” ประชาชนที่สนใจก็สามารถรับฟังการแถลงนโยบายได้โดยตรงหรือหาโหลด หาอ่านตามเครือข่ายอินเทอร์เน็ตก็ได้ด้วย)
แล้ว "เนื้อหาของนโยบายเอามาจากไหน?ล่ะครับ"
เนื้อหาในนโยบายของรัฐบาลจะผสมผสานกันระหว่าง “แนวนโยบายแห่งรัฐ” ตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ กับ “นโยบายของพรรคการเมือง” ตามที่พรรคการเมืองหาเสียงไว้ในช่วงการเลือกตั้ง
รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เขียนเรื่องนี้ไว้ในหมวดที่ 5 โดยระบุว่าคณะรัฐมนตรีจะต้องระบุว่าจะดำเนินนโยบายอะไรบ้าง ในกรอบเวลาอย่างไร และหลังจากดำเนินการไปแล้วทุกๆ 1 ปีจะต้องแถลงผลงานต่อสภาด้วยครับ
“มาตรา 75 บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นเจตจำนงให้รัฐดำเนินการตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน
ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องชี้แจงต่อรัฐสภาให้ชัดแจ้งว่าจะดำเนินการใด ในระยะเวลาใด เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคเสนอต่อรัฐสภาปีละ 1 ครั้ง
มาตรา 76 คณะรัฐมนตรีต้องจัดทำแผนการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อแสดง มาตรการและรายละเอียดของแนวทางในการปฏิบัติราชการในแต่ละปี ของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องจัดให้มีแผนการตรากฎหมาย ที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน ”
เพราะฉะนั้นในเนื้อหานโยบายตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ได้กำหนด “แนวนโยบายแห่งรัฐ” เปรียบเสมือน “แนวทาง” หรือ นโยบายในภาพกว้างที่รัฐบาลไหนๆ ก็ต้องปฏิบัติตามนี้ ส่วนแผนงาน แผนปฏิบัติการว่าจะทำอย่างไร เป็นหน้าที่ของแต่ละรัฐบาลจะเสนอผ่านการแถลงนโยบายนั่นเอง ส่วนของ “แนวนโยบายแห่งรัฐ” อยู่ในมาตรา 77-87 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งก็แบ่งแนวนโยบายออกเป็นหลายด้าน(9 ด้าน) เช่น ความมั่นคงของรัฐ การบริหารราชการแผ่นดิน ศาสนา สังคม สาธารณสุข การศึกษา ต่างประเทศ ที่ดิน ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม กฎหมาย เศรษฐกิจ พลังงาน เป็นต้น (ศึกษาเพิ่มเติม http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2550/A/047/1.PDF )
มาดูนโยบายรัฐบาล “' ปู ยิ่งลักษณ์ ' ว่าเป็นยังไง?
เว็บไซต์รัฐบาลไทยได้เผยแพร่คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดได้จาก http://spm.thaigov.go.th/multimedia/warapornc/policy/Policy-Yingluck28.pdf
เหตุผลก่อนแถลงนโยบาย ครับ “การที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1.การเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงสูงไม่สามารถก้าวพ้นวิกฤตได้อย่างยั่งยืน เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่านขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง ไปสู่ศูนย์กลางใหม่ทางทวีปเอเซียในระยะยาว 2.การเปลี่ยนผ่านทางด้านการเมือง ความขัดแย้ง ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีผลต่อความเชื่อมมั่นทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาผูกโยงกับภาวะเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ดี ความขัดแย้งดังกล่าวมีผลกระทบต่อการวางพื้นฐานเพื่ออนาคตในระยะยาว และทำให้สูญเสียโอกาสในการเดินหน้าเพื่อพัฒนาประเทศในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เพียง 3.6% ซึ่งต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และ 3.การเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างประชากรและสังคมไทย โครงสร้างดังกล่าวของไทยกำลังเปลี่ยนไปสู่สังคมผู้สูงอายุจะมีผลต่อปริมาณ และคุณภาพของคนไทยในอนาคต นโยบายการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะยึดหลักการบริหารที่มีความยืดหยุ่น ที่คำนึงพลวัตรการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล” (นี่คือการอ้างที่มาที่ไปของการจะแถลงนโยบายซึ่งเป็นแค่อารัมภบทเฉยๆครับโดยส่วนตัวของผมไม่ใช่สาระทางวิชาการ)
"นโยบายของรัฐบาลมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ ประการที่หนึ่ง เพื่อนำประเทศไทยไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจที่สมดุลมีความเข้มแข็งของเศรษฐกิจ ภายในประเทศมากขึ้น ประการที่สอง เพื่อนำประเทศไทยไปสู่สังคมที่มีความปรองดองสมานฉันท์และอยู่บนพื้นฐานของ หลักนิติธรรมที่เป็นมาตรฐานสากลเดียวกันและมีหลักปฏิบัติที่เท่าเทียมกันต่อ ประชาชนคนไทยทุกคน ประการที่สาม เพื่อนำประเทศไทยไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 อย่างสมบูรณ์ โดยสร้างความพร้อมและความเข้มแข็งทั้งด้านเศรษฐกิจสังคม และวัฒนธรรม และการเมือง และความมั่นคง"
รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และระยะการบริหารราชการ 4 ปี เพื่อให้มีการพัฒนาอย่างมีคุณภาพ สมดุล ยั่งยืนและมีภูมิคุ้มกันตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
"นโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก" คือ
1.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ เยียวยาและฟื้นฟูทุกฝ่าย เช่น ประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ประกอบการภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุรุนแรงตั้งแต่ช่วงปลายการใช้รัฐธรรมนูญ 2540 สนับสนุนให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ดำเนินการอย่างเป็นอิสระ
2.กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น "วาระแห่งชาติ"
3.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง
4.ส่งเสริมการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน
5.เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้โดยน้อมนำกระแสพระราชดำรัส "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" เป็นหลักปฏิบัติ
6.เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ
7.แก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง โดยชะลอการเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชั่วคราวเพื่อให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงลดลงทันที ปรับโครงสร้างราคาพลังงาน จัดให้มีบัตรเครดิตพลังงานสำหรับผู้ประกอบอาชีพรถรับจ้างขนส่งผู้โดยสารสาธารณะ ดูแลราคาสินค้าและการมีรายได้ ป้องกันและแก้ไขการผูกขาดทั้งทางตรงและทางอ้อม
8.ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ พักหนี้ครัวเรือนของเกษตรกรรายย่อย และผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้ต่ำกว่า 500,000 บาท อย่างน้อย 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีหนี้เกิน 500,000 บาท ทำให้แรงงานมีรายได้เป็นวันละไม่น้อยกว่า300 บาท ผู้จบปริญญาตรีมีรายได้เดือนละไม่น้อยกว่า 15,000 บาท จ่ายเบี้ยสูงอายุแบบขั้นบันได อายุ 60 - 69 ปี 600 บาท , อายุ 70 - 79 ปี 700 บาท , อายุ 80 - 89 ปี 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป ได้รับ 1,000 บาท ลดภาษีบ้านหลังแรก และรถยนต์คันแรก
9.ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือร้อยละ 23 ในปี 2555 และเหลือร้อยละ 20 ในปี 2556
10.ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเพิ่มเงินทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองอีกแห่งละ 1 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี วงเงินเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท จัดตั้งกองทุนตั้งตัวได้วงเงิน 1,000 ล้านบาท ต่อสถาบันอุดมศึกษาที่ร่วมโครงการ จัดสรรงบประมาณเข้ากองทุน เอสเอ็มแอล 300,000 , 400,000 และ 500,000 บาท ตามขนาดหมู่บ้าน
11.ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน เริ่มจากการรับจำนำข้าวเปลือกเจ้าและข้าวเปลือกหอมมะลิ เกวียนละ 15,000 บาท และ 20,000 บาท จัดทำทะเบียนครัวเรือนเกษตรกรและการออกบัตรเครดิตสำหรับเกษตรกร
12.เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ โดยประกาศให้ปี 2554 - 2555 เป็นปี "มหัศจรรย์ไทยแลนด์" และประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าร่วมเฉลิมฉลองในพระราชพิธีมหามงคลที่จะมีขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2554 - 2555
13.สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชน
14.พัฒนาระบบประกันสุขภาพ เพิ่มประสิทธิภาพระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค ให้ทุกคนได้รับบริการอย่างมีคุณภาพ สะดวก รวดเร็วและเป็นธรรม
15.จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ให้แก่โรงเรียน เริ่มในโรงเรียนนำร่องแก่นักเรียน ป.1 ปีการศึกษา 2555
16.เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วม โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่เป็นอิสระยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้ประธานเห็นชอบผ่านการออกเสียงประชามติ
"นโยบายที่จะดำเนินการภายในช่วงระยะ 4 ปี" (ตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญครับ) จะดำเนินนโยบายหลักตามข้อ 2-8 ดังนี้
2.นโยบายความมั่นคงแห่งรัฐ ที่สำคัญคือ เทิดทูนและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์ น้อมนำพระราชดำริทั้งปวงไว้เหนือ เกล้าเหนือกระหม่อม พร้อมทั้งอัญเชิญไปปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม
3.นโยบายเศรษฐกิจ กระจายรายได้ที่เป็นธรรม ปรับโครงสร้างภาษีอากรทั้งระบบ มีนโยบายสร้างรายได้จากการส่งเสริมการท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวในเวลา 5 ปี ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตและการค้าอาหาร มีนโยบายปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ส่วนนโยบายโครงสร้างพื้นฐาน จะพัฒนาระบบขนส่ง ประปา ไฟฟ้าให้กระจายไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึง เพียงพอ ขยายการให้บริการน้ำสะอาดให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ พัฒนาระบบรถ ไฟทางคู่เชื่อมชานเมือง+หัวเมืองหลัก พัฒนารถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯเชียงใหม่ กรุงเทพฯ - นครราชสีมา กรุงเทพฯ - หัวหิน และเส้นทางเชื่อมต่อกับเพื่อนบ้าน ศึกษาและพัฒนาขยายทางรถไฟสายแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ต่อจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิไปยังชลบุรีและพัฒนา เร่งรัดโครงสร้างรถไฟฟ้า 10 สายทางใน กทม.และปริมณฑล ให้เริ่มก่อสร้างได้ครบใน 4 ปี ค่าบริการ 20 บาทตลอดสาย
4.นโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิต กระจายโอกาสทางการศึกษาให้เข้าถึงทุกกลุ่มจัดโครงการเงินกู้เพื่อการศึกษาที่ผูกพันกับรายได้ในอนาคต ส่งเสริมให้แรงงานเข้าถึงข้อมูลข่าวสารตำแหน่งว่างงานโดยสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพประกันสังคม พัฒนาคุณภาพชีวิตตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ จนถึงวัยชรา และผู้พิการ สร้างหลักประกันความมั่นคงในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิมนุษยชนทุกรูปแบบ
5.นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ ทรัพยากรทางทะเล สร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ
6.นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและนวัตกรรม เร่งสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัยและครูวิทยาศาสตร์ให้เพียงพอ ส่งเสริมสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศมุสลิม และองค์กรอิสลามระหว่างประเทศ
7.นโยบายการต่างประเทศ และเศรษฐกิจระหว่างประเทศ เร่งส่งเสริมและพัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ส่งเสริมผลประโยชน์ของชาติในองค์กรระหว่างประเทศ
8.นโยบายการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พัฒนาระบบราชการ สร้างเสริมมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรม และ ธรรมาภิบาลรวมถึงปฏิรูประบบกฎหมายและพัฒนากระบวนการยุติธรรม ให้ทันสมัย สอดคล้องหลักการประชาธิปไตย เร่งรัดจัดตั้งองค์กรเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติรรมที่ดำเนินการโดยอิสระ และปรับปรุงระบบการช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงความเป็นธรรมโดยง่าย ส่งเสริมให้ประชาชนมีโอกาสได้รับรู้ข่าวสารจากทางราชการ สื่อสารมวลชนและสื่อสาธารณะ
สุดท้ายยังไงนโยบายทั้งหมดที่คณะรัฐมนตรีได้นำเสนอมานี้ถูกกำหนดขึ้นโดยคำนึงเจตจำนงของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ในหมวด 5 ที่ ว่าด้วยแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เพื่อจะได้เร่งดำเนินการให้เป็นรูปธรรมโดยจัดทำรายละเอียดการดำเนินการ ประกอบด้วย แผนการบริหารราชการแผ่นดินแผนปฎิบัติราชการของส่วนราชการต่างๆและแผนการตรากฎหมาย(แผนนิติบัญญัติ) เพื่อเป็นแนวทางการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป
ปล.ผม “นักวิชากวรอิสระ” นำมาเผยแพร่คงจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้สนใจนะครับแล้วพบกันใหม่ในบทความหน้าครับ “สวัสดีครับ”
แท็กของ Technorati: {กลุ่มแท็ก}
คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ,
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ,
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ,
แถลงนโยบาย ,
นโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ,
คำแถลงนโยบายปู ,
ปู ยิ่งลักษณ์ ,
นายกยิ่งลักษณ์แถลงนโยบาย ,
นโบายพรรคเพื่อไทย ,
พรรคเพื่อไทย ,
แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ,
รัฐบาลยิ่งลักษณ์แถลงนโยบาย