วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Magna Carta : Ironclad ทัพเหล็กโค่นอํานาจ

ในศริสศตวรรษที่ 13 พระเจ้าจอห์น กษัตริย์อังกฤษผู้บ้าอำนาจถูกขุนนางและพ่อค้าวานิชตามหัวเมืองกดดันให้เซ็นสัญญา “แมคนาคาร์ตา” เพื่อที่จะมอบสิทธิ์ให้ทุกคนได้มีอิสระภาพในการปกครองตัวเอง แต่อีกไม่กี่เดือนต่อมา พระเจ้าจอห์น ก็เปลี่ยนใจและรวบรวมกองกำลังสุดเหี้ยมบุกเข้าหัวเมืองต่างๆ เพื่อยึดอำนาจกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้ง ก็เหลือเพียงแต่กลุ่มอัศวินโต๊ะกลมกลุ่มเล็กๆที่ยึด ปราสาทโรเชสเตอร์เป็นฐานที่มั่นสุดท้ายเท่านั้น ในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความยุติธรรมและอิสรภาพของทุกคน

 

ที่กล่าวมานี่คือเนื้อหาในภาพยนตร์ Ironclad หรือ ทัพเหล็กโค่นอำนาจ เท่านั้นแต่ใจความที่ผมจะนำเสนอคือ มหาเอกสาร หรือ Magna Carta และตำนาน พระเจ้าจอห์นอันโหดเหี้ยม

clip_image006

clip_image004clip_image002

เริ่มต้นด้วยพระเจ้าจอห์นเนี่ยเป็นพวกบ้าอำนาจและด้วยความบ้านี้ เลยมีนิสัยบ้าสงคราม พระเจ้าจอห์นเลยรีดภาษีหนักมากแบบว่าในประวัติศาสตร์อังกฤษเนี่ย ยกให้รายนี้เทพสุดในเรื่องการรีดภาษีเลยทีเดียว ว่ากันว่าในรัชสมัยของพระเจ้าเฮนรีที่ 2 และพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ผู้เป็นบิดาและพี่ชายนั้นมีรายได้จากการเก็บภาษีปีล่ะ 20000-25000 ปอนด์ แต่ท่านนี้รีดเลือดมาได้ถึงปีล่ะ 64000 ปอน์ด!!!

ขนาดมีตำนานว่า ครั้งหนึ่งเพื่อรีดภาษีจากเศรษฐียิวคนหนึ่งที่งกไม่ยอมจ่าย ตามที่โดนรีดเก็บถึง 6000 ปอน์ดในปีนั้น มีรับสั่งให้จับง้างปากแล้วถอนฟันมันสดๆ วันล่ะซี่จนฟันเกือบหมดปากตานี้เลยยอมจ่าย(คงเกือบหมดตัวเลยล่ะ) ทว่าแม้นจะรีดภาษีแค่ไหนแต่ก็รบแพ้ตลอด ถึงขั้นเสียดินแดนเดิมบางส่วนด้วยซ้ำ (ที่สำคัญรายนี้ไม่เหมือนพี่รึพ่อ ชอบสั่งทหารไปรบแต่ตนไม่ออกไปรบด้วย..)

แน่นอนนานวันเข้าบรรดาขุนนางและเศรษฐีที่โดนรีดภาษีอย่างหนัก (ยุคนั้นประชาชนแทบทั้งหมดไม่มีกรรมสิทธ์ในที่ดินกันหรอก ว่าง่ายๆ ที่ดินเกือบทั้งประเทศเป็นของขุนนางและเศรษฐี ระบบฐานันดร(ศักดินา – feudalism) แบบสุดๆไปเลย จึงรวมหัวกันว่าจะกบฏกันเถอะ แต่ว่าดันขาดสิ่งสำคัญนั้นคือ ธีมหลักที่จะใช้ปลุกระดมให้คนอื่นไปตายแทน และอ้างความชอบธรรมในการกบฏ ก่อนหน้านั้นมุกสุดฮิตในการอ้างคือ มุกอ้างสิทธิต่อสู้เพื่อความชอบธรรมในการครองบรรลังก์ ของเจ้าชายพระองค์ใดสักองค์ แต่ว่าตอนนั้นหาคนที่ดีๆชื่อเสียงหล่อๆเป็นหัวโขนชูโรงไม่ได้สักคน...

หลังการรวมหัวกันก็ได้ไอเดียหนึ่ง สมกับที่มีคำกล่าวว่าหลายๆหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ก็สรุปธีมหลักในหนนี้ว่า "การต่อสู้เพื่อการปฎิรูปเพื่อเสรีภาพ" ซึ่งมุกนี้ได้ผลครับสามารถปลุกระดมได้ดี ในที่สุดพระเจ้าจอห์นที่เห็นท่าว่า ขืนสู้ต่อมีแววหัวกุดเลยยินยอมแสร้งลงนามในกฏบัตรนี้ ณ ทุ่ง runnymede ในวันที่ 15 เดือน มิถุนายน ค.ศ.1215

แมคนา คาร์ตา เป็นภาษาละตินแปลว่า กฏบัตรใหญ่ หรือ มหากฎบัตร หรือ มหาเอกสาร เป็นกฏบัตรที่ตราขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1215 ในประเทศอังกฤษในสมัยพระเจ้าจอห์น (ตรงกับช่วงอยุธยาตอนปลาย) แมคนา คาร์ตา มีอิทธิพลต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนกฏบัตรสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน

รัฐบาลที่กดขี่ของพระเจ้าจอห์นอีกทั้งความล้มเหลวในการยึดนอร์มังดีกลับคืนมา มีผลให้เกิดการถูกต่อต้านจากกลุ่มขุนนางซึ่งนำไปสู่การเรียกร้องการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ กลุ่มขุนนางได้เข้าเฝ้าพระองค์ที่รันนีมีด (Runnymede) และบังคับให้ทรงลงพระปรมาภิไธยประทับทรงประทับพระราชลัญจกร บน มหากฎบัตร (แมกนาคาร์ตา) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 1758 ซึ่งเป็นรากฐานแห่งรัฐธรรมนูญของประเทศอังกฤษในเวลาต่อมา การปฏิเสธไม่ยอมรับเป็นส่วนสำคัญในการชักนำให้เกิดสงครามขุนนาง

เนื้อหาหลักในมหากฏบัตร กล่าวถึง สิทธิในการได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของเสรีชน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในชนชั้นหรือวรรณะใดก็ตาม และพระเจ้าแผ่นดินจะต้องมอบสิทธินี้ ให้กับขุนนางหรือผู้ครอบครองที่ดิน และขุนนางนั้น จะต้องมอบสิทธิให้กับพลเมืองหรือไพร่ในสังกัด โดยพลเมืองทุกคนจะไม่ถูกกดขี่ พ่อค้าและชาวนา ไม่จำเป็นต้องมอบสินค้าบางส่วนหรือผลิตผลทางเกษตร(มอบส่วย ค่าฤชา ธรรมเนียม)ให้กับขุนนางหรือพระเจ้าแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าคุ้มครอง

เนื้อความในส่วนหนึ่งของมหากฏบัตร ระบุว่า "จะไม่มีบุคคลที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยปราศจากอิสรภาพ หรือถูกยึด ขู่กรรโชก ทรัพย์สิน โดยปราศจากคำตัดสินของศาล" นอกจากนี้มีในมหากฏบัตร ยังได้กล่าวถึง การเรียกเก็บภาษีของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าแผ่นดินจะทรงเรียกเก็บภาษีตามพระราชหฤทัย โดยไม่ผ่านการเห็นชอบจากสภาบริหารราชการแผ่นดิน (The Great Council of the Nation) มิได้

แต่อีกนัยยะหนึ่งในกฏบัตรนี้มี 63 มาตราซึ่งทั้งหมดล้วนเขียนจากความไม่พอใจที่มีต่อการปกครองโดยกษัตริย์ก็เช่น"เราจะไม่ขายไม่ปฏิเสธหรือหน่วงเหนี่ยวความยุติธรรมต่อผู้ใด" ทว่าโดยเนื้อแท้ของมันแล้ว ก็ยังคงสะท้อนในมาตราต้นๆซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่อง การเก็บภาษีและกรรมสิทธิ์ในที่ดินของเจ้าของที่ดิน และบรรดาภรรยาหม้ายของพวกเขาและการกำหนดค่าโอนภาษีมรดก โดยสรุปย่อๆแล้วทั้ง 63 มาตรา ล้วนแต่เป็นเรื่องผลประโยชน์ ของบรรดาเหล่าขุนนางและพ่อค้าวานิชเกือบทั้งสิ้น มีเพียง 2 มาตราที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนชั้นล่าง ซึ่งเป็นชนส่วนมากในยุคนั้นคือมาตราว่าด้วย "ห้ามลงโทษผู้ใดรวมทั้งทาส โดยทำให้หมดช่องทางทำมาหากิน และการปรับหรือลงโทษดังกล่าว ต้องกระทำโดยรับฟังคำสัตย์สาบาน ของเพื่อนบ้านที่เป็นคนซื่อสัตย์" และ "ข้าแผ่นดินทุกคนของอาณาจักร ล้วนดำรงไว้ซึ่ง ประเพณีและเสรีภาพ"

แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีการระบุไว้ว่าจะมีวิธีบังคับใช้จริงซึ่งผู้ฝ่าฝืนจะมีโทษเช่นไรและแม้ว่า ส่วนหนึ่งของมหากฏบัตร ที่กล่าวว่า "จะไม่มีบุคคลที่ถูกกักขัง หน่วงเหนี่ยว โดยปราศจากอิสรภาพ หรือถูกยึด ขู่กรรโชก ทรัพย์สินโดยปราศจากคำตัดสินของศาล" ทว่ากลับกล่าวว่าสิทธิเหล่านั้น เป็นของ"อิสรชน"ไม่ใช่สิทธิของคนชั้นชนล่างที่ไร้ที่ดินและทาสซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่

อ่านมาถึงตรงนี้ทุกท่านคงถามว่ามันตราขึ้นเพื่อใครกันแน่ครับ หรือเพราะนี่คือนิสัยของพวกที่อ้างว่าจะทำเพื่อเสรีภาพและความชอบธรรมของประชาชน หรือเพื่ออะไรบางอย่างแล้วมาเขียนกฏหมาย หรือมาชุมนุมประท้วงเรียกร้องอะไรเนี่ย มักจะมีผลประโยชน์ซ้อนเร้น(Hidden Agenda)ทั้งนั้น

“เพราะเนื้อแท้ของการเมืองคือเรื่องของผลประโยชน์ มันเป็นธรรมชาติของการเมืองก็ว่าได้”