วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"พินิจ" หน่ายการเมือง ปลูกยางสร้างคอนเนกชั่นเจ้าสัว คนอีสานจะรวยๆ บึงกาฬจะเป็นฮับใหญ่สุด







 ชั่วโมงนี้   อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 "พินิจ จารุสมบัติ" รองนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลทักษิณ  ชินวัตร  ได้ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรปลูกยางพารารายใหญ่ในจังหวัดบึงกาฬ หลังจากเว้นวรรคภารกิจทางการเมืองมา 5 ปี


ย้อนกลับไปดูเส้นทางก่อนจะมาเป็น เสี่ยใหญ่   พินิจ ผ่านชีวิตมาแล้วทุกรูปแบบ ในวันหนุ่ม เคยเป็นรองเลขาธิการ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย   เป็นนักศึกษาหนุ่มหัวก้าวหน้า เรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง     ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ต้องระหกระเหินเข้าป่า ในเขตภูหินร่องกล้า โดยใช้ชื่อว่า "สหายพนัส"


ต่อมา พินิจได้ตัดสินใจก้าวสู่วงการเมืองเต็มตัว ปี 2539 ได้เป็นหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ส.ส.จังหวัดหนองคาย

จากพรรคเสรีธรรม พินิจ ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2544 และได้รับตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย   ในยุครุ่งเรือง เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรองนายกรัฐมนตรี ก่อน 19 กันยายน 2549  
                                      
นายพินิจ ในวัยอายุ 60 ปี กล่าวว่า เหตุผลที่เลือกเส้นทางอาชีพสวนยางพารา เมื่อ 20 ปีก่อน เพราะเห็นว่า เกษตรกรภาคอีสานมีรายได้ต่ำมาก ซึ่งรัฐบาลได้จัดทำโครงการอีสารเขียวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร


อาทิเช่น โครงการส่งเสริมปลูกไผ่ตรง ปลูกมะม่วงหิมพานต์ เลี้ยงโค แต่ทุกโครงการล้มเหลวหมด แต่ในขณะนั้น ยางพารา ยังไม่แพร่หลายในพื้นที่ภาคอีสาน ราคายางอยู่ที่กิโลกรัมละ 10 กว่าบาท ทางสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(สกย.) ได้นำยางมาแจกให้ชาวบ้านนำไปปลูก อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังขาดความมั่นใจ เกี่ยวกับผลผลิตที่ออกมา ปลูกแล้วจะได้ผลจริงหรือเปล่า ผลผลิตที่ออกมาจะนำไปขายที่ไหน

"ตอนนั้น เป็น ส.ส.และเป็นรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ สกย. จึงนำกล้ายางมาให้ทดลองปลูกเป็นตัวอย่างนำร่อง เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อมั่นในการปลูกยางพาราจะทำให้รายได้และคุณภาพชีวิตดี ขึ้น ในระหว่างนั้น    ได้ซื้อที่ดิน 300 ไร่ ในอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย และนำไปปลูกยางพารา ในปี 2539 ชาวบ้านได้เห็นสวนยาง มีการเจริญเติบโตดี ขายได้ราคา จึงพากันปลูกยางเพิ่มมากขึ้น" อดีตรองนายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ราคายางในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ   พินิจ เชื่อว่า ยางพาราจะกลายเป็นพืชแห่งความหวังของเกษตรกรในภาคอีสาน เพราะช่วยสร้างรายได้และฐานะให้ชาวบ้านเป็นอย่างดี รวมไปถึงจังหวัดบึงกาฬซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลทองของการปลูกยางพารา ราคา ที่ดิน ไร่ละ 2,500 บาท แต่ ปัจจุบันนี้ มีคนมาขอซื้อในราคาไร่ละ 150,000 บาท ยังไม่มีใครขายที่ดินให้เลย เนื่องจากชาวบ้านในจังหวัดบึงกาฬ มีรายได้และฐานะร่ำรวย จากการปลูกยางและรับจ้างกรีดยางเป็นหลัก ในปีที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยแล้วเกษตรกรมีรายได้จากขายยางพารา 3,000 ล้านบาท โดยประมาณ อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วนนี้ เฉพาะอำเภอบึงกาฬเพียงแห่งเดียว 

"ช่วงที่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ได้ส่งเสริมการขยายพื้นที่ปลูกยางออกไปอย่างกว้างขวาง จังหวัด  บึงกาฬถือว่าเป็นแหล่งยางพาราที่ปลูกมากที่สุดในภาคอีสานซึ่งมีพื้นที่ปลูก ยาง ไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านไร่" 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเว้นจากธุรกิจทางการเมือง แต่ยังคงทำหน้าที่ส่งเสริมการปลูกยางอย่างต่อเนื่อง โดยสนับสนุนข้อมูลและแจกกล้ายางฟรีแก่ชาวสวน โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 200,000 ต้น

ใคร ๆก็รู้ว่า ผมเป็นคนบุกเบิกส่งเสริมการปลูกยางพารา จะสนับสนุนให้ชาวบ้านที่สนใจอยากปลูกยาง โดยให้กล้ายางฟรีเพื่อนำไปทดลองปลูก จนสามารถขยายพันธ์กล้าได้เอง ส่วนในด้านของการตลาด จะมีวิทยุชุมชนคอยประกาศภาวะราคาซื้อขายยางพาราและสินค้าเกษตรให้ชาวบ้านรับ รู้ และยังส่งเสริมให้ชาวเกษตรทำปุ๋ยใช้เอง ลดต้นทุนการผลิต ทั่งนี้เพื่อให้ชาวบ้านรู้จักการพัฒนาการขายและเน้นการเลือกพ่อค้าที่ให้ ราคาดี

อดีตรองนายกรัฐมนตรี เผยว่า มีความสุขกับการ ทำธุรกิจยางพารามาก นอกจากจะช่วยสร้างงานสร้างเงินแล้ว ยังเป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพระหว่างตนและเพื่อนพ้องนักธุรกิจ อาธิเช่น คุณศิริธัช โรจนพฤกษ์ (เสี่ยคอมลิงค์) และคุณเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ (เจ้าของบริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด) เป็นนักลงทุนรุ่นแรก ที่ปลูกยางพาราในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ รวมไปถึง เจ้าของเบียร์ช้าง คุณเจริญ สิริวัฒนภักดีก็ยังมีที่ดินปลูกยางนับหมื่นไร่

แต่ปัจจุบันกิจการสวนยางทั้งหมดอยู่ ในความดูแลของ ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวเจริญ (นายปณต สิริวัฒนภักดี) นอกจากนี้ บริษัท ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้า ได้แบ่งกล้ายางพันธุ์ RRIM มาให้ตนได้ทดลองปลูก ส่วนนายธนินท์ เจียรวนนท์ (เจ้าสัว ซีพี) ได้แบ่งกล้ายางพันธ์ใหม่ JVP80 (สามารถเปิดกรีดได้เร็วกว่ายางพันธุ์ทั่วไป) ให้ตนนำมาทดลองเช่นกัน

นายพินิจ กล่าวว่า ตนได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่สนใจเรื่องการปลูกยางพารา สามารถเยื่อมชม "สวนบ้านโนนไพศาลได้" ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมยางพันธุ์ดี และปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งโรงงานแปรรูปยางขั้นต้น ทั้งนี้สินค้ายางส่วนใหญ่จะจำหน่ายให้กับบริษัท ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)


อย่างไรก็ตาม สวนยางของตน ถือเป็นสวนยางตัวอย่างที่มีกระบวนการผลิตแบบครบวงจร ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในการปลูกยางหน้าแล้ง ในอำเภอบึงโขงหลวง ซึ่งใช้เวลาแค่เดือนเดียวสูบน้ำจากแม่น้ำโขงขึ้นมารดต้นยางในช่วงหน้าแล้ง จะทำให้ต้นยางงอกงามดี แต่ต้นทุนจะสูงกว่าปรกติ ซึ่งผลที่ออกมาจะคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การปลูกต้นยางหน้าแล้งนั้น ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็เปิดกรีดยางได้

อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง เห็นด้วยกับ เจ้าสัว ซีพี ในแนวคิดที่ว่าธุรกิจยางพารา มีโอกาสเจริญเติบโตต่อเนื่อง7-8 ปีข้างหน้า เพราะทั่วโลกมีปริมาณความต้องการใช้ยางสูงถึง ปีละ 12 ล้านตัน แต่ทั่วโลกผลิตยางได้แค่ปีละ 10.2 ล้านตัน ทั้งนี้ ราคายางพาราจะอ่อนตัวลงไป แต่ผลกำไรที่เกษตรกรจะได้รับยังเหลืออีกมาก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสวนยางจึงเป็นสินค้าที่มีอนาคตสดใสมาก


และที่สำคัญในอนาคต จังหวัดบึงกาฬจะเป็นศูนย์กลางผลิตยางที่สำคัญในภาคอีสาน และประเทศไทยยังเป็นแหล่งผลิตยางพาราอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีบริษัทผลิตยาง รถรายใหญ่ของโลก เข้ามาลงทุนทำอุตสาหกรรมในไทย 7 ราย มากที่สุดในโลก อนาคตคาดว่าจะมีนักลงทุนจาก จีน อินเดีย เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพราะจีนเนื่องจากอุตสาหกรรมของจีนกำลังขยายตัว


แม้จะเหลือเวลาอีกไม่ถึง1ปี กับการปลดแอกโทษพันธนาการทางการเมือง พินิจ จารุสมบัติ ก็จะเป็นอิสระ สามารถเข้ามาใช้ชีวิตนักการเมืองได้อย่างเก่าก่อน แต่เขากับบอก "ไม่อีกแล้ว"    อยากทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังคอยช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาให้นักการเมืองรุ่นน้องมากกว่า

รวมถึงตั้งใจจะทำหน้าที่ในบทบาทนายกสมาคมวัฒนธรรม เศรฐกิจไทย-จีน รวมถึงประธานชมรมเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบนเพื่อดูแลช่วยเหลือสมาชิกกว่า 3,000 ครอบครัว ให้อยู่ดีกินดี ทั้งยังอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติขนาดนี้ ร่วมกับครอบครัวก็เป็นความสุขสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ตัวเขาพอใจแล้ว

เรื่อง   ศรางกูล พูลทวี

(ข้อมูล/ภาพ จาก เทคโนโลยีชาวบ้าน / จิรวรรณ โรจนพรทิพย์ )

ที่มา มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Anders Behring Breivik เจ้าของหัตถ์สังหารเลือดเย็น 93 ศพ เขาคือใคร?

ผลการศึกษาเรื่องสันติภาพของโลก จัดอันดับประเทศจากทั้งหมด ชี้ว่า นอร์เวย์เป็นประเทศที่สงบสุขที่สุดในโลก สิ่งที่นำมาประกอบการวิเคราะห์ว่าประเทศใดจะสงบสุขไม่สงบสุขมากน้อยเพียงใด นั้น ประกอบไปด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น การครอบครองอาวุธของคนในประเทศ และระดับอาชญากรรม, ค่าใช้จ่ายของกองทัพประเทศนั้นๆว่าสูงเพียงใด, การคอร์รัปชัน, การให้ความใส่ใจต่อสิทธิมนุษยชนแก่ประชาชนในประเทศ ฯลฯ

วันที่ 22 ก.ค. 2011 เกิดเหตุโจมตีขึ้นสองครั้งซ้อนในกรุงออสโล ที่อาคารสำนักงานนายกรัฐมนตรี แรงระเบิดทำให้ตึงพังเสียหายร้ายแรง

อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา เกิดเหตุซึ่งผู้อยู่ในเหตุการณ์อธิบายว่าเป็นชายผมบลอนด์ สูง นัยน์ตาสีฟ้า พูดภาษานอร์เวย์ อายุราว 30-40 ปี  แต่งตัวเลียนแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก่อเหตุกราดยิงเข้าใส่กลุ่มนักเรียน ส่วนใหญ่อายุ 14-18 ปี  ที่เข้าร่วมกิจกรรมของพรรคแรงงานของนอร์เวย์ บนเกาะอูโทยา

รวมผู้เสียชีวิตจากทั้ง 2 เหตุการณ์แล้วอย่างน้อย 93 คน เป็นเหตุโจมตีที่รุนแรงที่สุดในยุโรปตะวันตกในรอบ 7 ปี และรุนแรงที่สุดในดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2

ตำรวจนอร์เวย์ บอกว่าเขาชื่อ อันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก อายุ 32 ปี



ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่านี่คือส่วนหนึ่ง ของกระบวนการก่อการร้ายสากล หรือความผิดเพี้ยนจากจิตของคนที่มีความเชื่อทางการเมืองหรือศาสนาหรือสังคม สุดขั้วที่ควบคุมสติของตนไม่ได้ชั่วขณะ

ชาวนอร์เวย์ที่ไม่เคยเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดในสังคมของตนได้ ต่างตกอยู่ในอาการอกสั่นขวัญแขวนและช็อค

สื่อนอร์เวย์ฉบับหนึ่งพาดหัวใหญ่ว่า "การสังหารหมู่ในแดนสวรรค์" (Massacre in Paradise)

นักวิเคราะห์หลายรายระบุว่า ระดับความโหดร้ายของเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำลายภาพธรรมชาติอันงดงามของประเทศที่มองตนเองว่ามีความสงบ อีกทั้งยังทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ซึ่งใช้นอร์เวย์เป็นสถานที่มอบรางวัล

99% ของชาวนอร์เวย์เชื่อว่านี่เป็นฝีมือของกลุ่มหัวรุนแรงชาวมุสลิม หลายคนช็อคซ้ำสอง เมื่อได้รู้ว่า ผู้ที่ก่อการร้าย ไม่ใช่ชาวมุสลิมดังที่มีการคาดไว้ตั้งแต่แรก แต่เป็นประชาชนชาวนอร์วีเจียน สายเลือด ลูกหลาน และพี่น้องร่วมประเทศของตนเอง


ในวันเกิดเหตุ เบรวิกแต่งตัวเป็นตำรวจ อ้างว่ามาช่วยปกป้องเยาวชนที่ค่ายบนเกาะที่จัดโดยพรรคเลเบอร์ที่เป็นรัฐบาล อยู่ขณะนี้ หลังจากเกิดเหตุระเบิดในเมืองหลวงสามชั่วโมงก่อนหน้านั้น ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 7 คน และบาดเจ็บอีกเกือบร้อย

เยาวชนบนเกาะซึ่งกำลังตระหนกกับข่าวระเบิด จึงเชื่อคำกล่าวอ้างว่าเขาคือตำรวจที่จะมาช่วยคุ้มครอง แต่ไม่ทันไร เขาก็ใช้ปืนกราดยิงใส่ทุกคนอย่างไม่เลือกหน้า

เบื้องต้นตำรวจบอกว่ามือปืนคนนี้เป็น "ชาวคริสต์หัวรุนแรงที่เชื่อมโยงกับกลุ่มฝ่ายขวา" (Christian fundamentalist with right-wing connections) ที่เคยเขียนไว้ว่าเขาต่อต้านสังคมที่ยอมให้คนหลายศาสนามาอยู่ร่วมกัน

เขาเคยเป็นสมาชิกกลุ่มเว็บบอร์ด "นีโอนาซี" ของสวีเดนที่ใช้ชื่อว่า "Nordisk"

บทความตอนหนึ่งที่คาดว่าเขาเป็นผู้เขียนกล่าวไว้ว่า เขา เชื่อว่าชาวมุสลิมกำลังเข้ามายึดครองยุโรปตะวันออก เขาโทษความเป็นสังคมแบบพหุวัฒนธรรม และโทษแนวคิดมาร์กซิสม์สายวัฒนธรรม ว่าเป็นตัวการทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น

ในการแสดงความเห็นครั้งหนึ่งเมื่อเดือนธ.ค. 2009 อันเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก อ้างว่า จะไม่มีประเทศใดที่ชาวมุสลิมจะได้อาศัยอยู่อย่างสงบสุขร่วมกับคนที่ไม่ใช่มุสลิม

เขาเปิดบัญชีในเฟซบุ๊คเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมและเรียกตัวเองว่าเป็น "คริสเตียนหัวอนุรักษ์นิยม"

เขาเขียนทวิตเตอร์เพียงข้อความเดียว อ้างนักปรัชญาชื่อดัง จอห์น สจ็วร์ต มิลล์  ว่า "One person with a belief is equal to the force of 100,000 who have only interests." แปลว่า "คนคนเดียวที่มีความเชื่อมีพลังเท่ากับคนหนึ่งแสนคนที่มีแค่ความสนใจ"

เบรวิคแสดงความปรารถนาของตนที่จะเป็นอัศวินเทมพลาร์ (Templar Knight) ผ่านการโพสต์วิดีโอลงยูทูบยาว 12 นาที โดยใช้ชื่อว่า "Knights Templar 2083" เผยให้เห็นภาพถ่ายของเบรวิกหลายรูป โดยหนึ่งในนั้นเป็นรูปที่เขาสวมชุดประดาน้ำแบบหน่วย "ซีล" ของกองทัพเรือ พร้อมกับโพสท่าทางกำลังเล็งปืนกลอยู่ นอกจากนี้ยังมีคำบรรยายใต้ภาพหนึ่งระบุว่า "ก่อนที่พวกเราจะทำสงครามครูเสดของเรา พวกเราจะต้องทำหน้าที่ด้วยการทำลายมาร์กซิสม์จนย่อยยับเสียก่อน" ทั้งนี้ อัศวินเทมพลาร์เป็นองค์กรภาคีทหารคริสเตียนซึ่งรุ่งเรืองในยุคสมัยกลาง และมีบทบาทสำคัญในช่วงสงครามครูเสด

(ชมคลิปวิดีโอที่นี่)





หนังสือพิมพ์ Verdens Gang ของนอร์เวย์ อ้างคำกล่าวของเพื่อนของเขา ซึ่งบอกว่าเขาเป็นพวก "ขวาสุดโต่ง" (right-wing extremist) ตั้งแต่ที่เขาอายุ 20 ปีเศษ

และดูเหมือนว่าเขาไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับกองทัพ และไม่มีประวัติอาชญากรรมใดๆ ตำรวจเผยว่าเขายอมวางอาวุธหลังถูกร้องขอ และหลังจากที่เขากราดยิงเหยื่อที่ไม่มีทางสู้ไปแล้วนานกว่า 90 นาที

นักข่าวนอร์เวย์อีกคนหนึ่งที่ตรวจประวัติส่วนตัวของเขา บอกว่ามือปืนคนนี้เคยเป็นสมาชิกพรรค "ก้าวหน้า" หรือ โพรเกรส (Progress Party) พรรคใหญ่อันดับสองของประเทศ ในปี 1999 และเป็นพรรคฝ่ายขวาซึ่งมีนโยบายการต่อต้านนโยบายการให้ต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศ ก่อนที่จะมีรายงานว่าเขาจ่ายค่าธรรมเนียมการเข้าเป็นสมาชิกครั้งสุดท้าย เมื่อปี 2004 และชื่อของเขาถูกตัดออกจากบัญชีผู้ลงทะเบียนเมื่อปี 2006

ข้อความตอนหนึ่งของไดอารี่ออนไลน์มากกว่า 1,500 หน้า ที่เขียนไว้เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี 2009 เผยให้เห็นบันทึกของนายไบรวิก ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวิธีการทำระเบิด ทัศนคติทางการเมืองที่โจมตีแนวคิดมาร์กซิสม์ และแนวคิดด้านลบต่อศาสนาอิสลาม รวมทั้งข้อความตอนหนึ่งขณะที่เขากำลังบรรยายแผนการโจมตีที่ระบุว่า "ตนจะถูกตราหน้าว่าเป็นอสูรร้ายแห่งนาซี ที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อนตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ผู้ต้องสงสัยคนนี้เคยแสดงความเห็นไว้ว่า ระบบสังคมนิยมของนอร์เวย์กำลัง "ทำลายประเพณี วัฒนธรรม และเอกลักษณ์ของประเทศ อีกทั้งยังทำให้สังคมอ่อนแอและสับสน"

เขาเกิดและโตที่กรุงออสโล หลังจากเรียนจบทางบริหารธุรกิจ จากออสโล สคูล ออฟ เมเนจเมนต์ (Oslo School of Management) หลังจากทำธุรกิจส่วนตัวแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จนย้ายออกจากเมืองหลวงไปทำฟาร์มเองเมื่อสองปีก่อน

เชื่อว่าเขาเปิดบริษัทเบรวิค จีโอฟาร์ม (Breivik Geofarm) โดยเป็นเจ้าของกิจการเพียงคนเดียว เพื่อเพาะปลูกพืชผัก แตงโม พืชมีหัว เพื่อบังหน้า เพื่อที่จะซื้อปุ๋ยที่เป็นส่วนผสมในการทำระเบิดมาได้โดยที่ไม่มีใครสงสัย โดยบริษัทที่จัดส่งเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆกล่าวว่า ตนได้ส่งปุ๋ยเป็นจำนวน 6 ตัน ให้แก่นายเบรวิกเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา

ต่อมาเขาจึงเริ่มสะสมอาวุธปืน รวมถึงการเข้าร่วมชมรมยิงปืนในปี 2005 เพื่อที่จะใช้เป็นข้ออ้างในการครอบครองอาวุธปืนกึ่งอัตโนมัติ Glock 17 ในอีก 6 ปีต่อมา



ในเฟซบุ๊ค เขาบอกว่าเขานิยมวีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่สองของนอร์เวย์ ที่ชื่อแม็กซ์ มานัส (Max Manus) และระบุหนังสือที่ชอบเป็นพิเศษว่าคือ "The Trial" ที่เขียนโดย ฟรานซ์ คัฟก้า (Franz Kafka) กับอีกเล่มหนึ่ง คือ "1984" เขียนโดยจอร์จ ออร์เวลล์

เพื่อนเก่าของเขาคนหนึ่งกล่าวว่า เขาแทบไม่หลงเหลือความเป็น เด็กชายคนที่ตนเคยรู้จัก หนึ่งในเพื่อนสมัยเด็กที่เข้าขากับเขามาจากตะวันออกกลาง ทั้งสองสนิทกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงมัธยมต้นและไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยๆ

นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า เขาเคยซื้อไวน์ฝรั่งเศสปี 1979 มา 3 ขวด และเปิดฉลองร่วมกับครอบครัวหนึ่งขวดในวันคริสต์มาส เพื่อฉลองให้กับ "แผนปฏิบัติการความทุกข์ทรมาน" ที่กำลังจะมาถึง

วิกิลีกส์เคยแฉว่า รัฐบาลนอร์เวย์ไร้ความสามารถในการแกะรอยกลุ่มมุสลิมก่อการร้ายที่อยู่บนผืน ดินของตน และการโจมตีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ชี้ให้เห็นว่า หน่วยงานด้านความมั่นคงของประเทศ ไม่ระแคะคะคายต่อแผนการก่อการร้ายในบ้านของตนเองอีกเช่นกัน

หากพบว่าเบรวิกมีความผิดจริง เขาจะได้รับโทษจำคุกสูงสุดตามกฎหมายนอร์เวย์ คือจำคุก 21 ปีเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่าเขารับโทษจำคุกเพียง 82 วันต่อการสังหารคน 1 คน

ขณะที่ในเฟซบุ๊คได้มีการก่อตั้งกลุ่ม "Anders Behring Breivik" ซึ่งมีผู้เข้าร่วมแล้วกว่า 5,634 คน  หลายคนแสดงความเห็นว่า "ผู้บริสุทธิ์จำนวนมากถูกสังหารเสียจนฉันคิดว่าเขาไม่มีสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่" โดยต้องการให้เบรวิกถูกประหารชีวิต

หนังสือพิมพ์อาฟเทนโพสเทนในกรุงออสโล รายงานว่า นายเบรวิกกล่าวกับตำรวจว่า  เขามีเป้าหมายทำร้ายนางโกร ฮาเลม บรันด์แลนด์ อดีตนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์

นางบรันด์แลนด์ เคยเป็นนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์ 3 ครั้ง ในช่วงทศวรรษ 1980 และ 1990  เธอได้รับการยกย่องว่าเป็น "มารดาของประเทศ"   ซึ่งตามกำหนดการเธอเดินทางมากล่าวสุนทรพจน์บนเกาะแห่งนี้ก่อนที่นายแอ นเดอร์ส เบห์ริง เบรวิก จะลงมือก่อเหตุสะเทือนขวัญได้เพียงวันเดียว

ชะตากรรมของเขาจะเป็นอย่างไร คงต้องติดตามชมนิยายเรื่องยาวนี้อย่างใกล้ชิด


ที่มา มติชนออนไลน์  วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 20:00:00 น.

เผด็จการทางรัฐสภา โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์



คํา ว่า "เผด็จการทางรัฐสภา" คงเกิดขึ้นจากนักวิชาการที่สนับสนุน รสช. เพราะคณะรัฐประหารชุดนี้ใช้คำนี้โฆษณาให้ความชอบธรรมแก่การยึดอำนาจจาก รัฐบาล ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างว่ารัฐบาลนั้นมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ฉะนั้นจะดำเนินนโยบายอย่างไร ก็ไม่มีทางที่ใครจะขัดขวางได้ แม้แต่จะโกงกินกันอย่างเปิดเผย ก็ต้องปล่อยให้ทำไปตามกฎหมาย

ดังนั้นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จึงเป็นเผด็จการ เพียงแต่เป็น "เผด็จการทางรัฐสภา" เท่านั้น
เรา จะพูดอย่างนี้กับรัฐบาลในระบอบรัฐสภาได้ทุกแห่งหรือไม่? ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจาก รสช. แต่ดูเหมือนมีนัยยะว่า หากรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากไม่ได้โกงไม่ได้กิน ก็ไม่ถือว่าเป็นเผด็จการทางรัฐสภา ฟังดูดีนะครับ

แต่ใครจะเป็นคนชี้ ว่านโยบายที่รัฐบาลดำเนินอยู่นั้น คือเจตนาที่จะเปิดโอกาสให้โกงกิน ใครโกงกิน และโกงกินอย่างไร หากสามารถพิสูจน์ได้อย่างน่าเชื่อถือด้วยพยานหลักฐาน เหตุใดจึงไม่มีกลไกอื่นใดที่จะยับยั้งหรือจับคนผิดมาลงโทษได้ (นอกจากทำรัฐประหาร)

แสดงให้เห็นว่า "เผด็จการทางรัฐสภา" นั้น หากมีจริง ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นจากรัฐสภาเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความล้มเหลวของกลไกทางการเมือง ทางกระบวนการยุติธรรม และทางสังคม ที่จะถ่วงดุลอำนาจที่มาจากตัวเลขในรัฐสภาด้วย

ในสังคมอย่างนั้น จะมีการปกครองอย่างอื่นเกิดขึ้นได้อย่างไร นอกจากเผด็จการในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
น่า ประหลาดที่แนวคิดกลวงๆ อันนี้ ไม่ได้ตายไปกับ รสช. แต่ยังอ้อยอิ่งอยู่ในความคิดของนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางการเมือง (ทั้งอย่างจริงใจ และเพื่อประโยชน์ส่วนตน) สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ว่ากันที่จริงแล้ว ผมคิดว่ามันแฝงอยู่ลึกๆ ในการร่างรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นแม่แบบส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ 2550 ด้วย

(เพื่อความเป็นธรรม ผมควรกล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญ 2540 ต้องการจะสร้างฝ่ายบริหารที่เข้มแข็ง แต่เพราะกลัวเผด็จการทางรัฐสภา จึงสร้างกลไกถ่วงดุลเสียงข้างมากไว้หลายอย่าง อันเป็นกลไกที่เชื่อมโยงมาถึงประชาชน ในขณะที่รัฐธรรมนูญ 2550 ต้องการฝ่ายบริหารที่ไม่เข้มแข็ง นอกจากวางข้อกำหนดที่ทำให้ฝ่ายบริหารเข้มแข็งได้ยากแล้ว ยังรักษากลไกถ่วงดุลเสียงข้างมากในรัฐสภาไว้ เหมือนหรือยิ่งกว่ารัฐธรรมนูญ 2540 แต่ล้วนเป็นกลไกที่ไม่เชื่อมโยงกับอำนาจของประชาชน เพราะตรงข้ามกับรัฐธรรมนูญ 2540 ประชาชนนั่นแหละคือตัวอันตรายที่สุดในทรรศนะของรัฐธรรมนูญ 2550)

และ ในปัจจุบัน เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้ แนวคิดเรื่อง "เผด็จการทางรัฐสภา" ก็ไม่ได้อ้อยอิ่งในความคิดเท่านั้น แต่เริ่มมีเสียงดังขึ้นมาอีก ปูทางไว้สำหรับการล้มรัฐบาลนอกรัฐสภา โดยวิธีใดวิธีหนึ่งในอนาคต

"เผด็จการทางรัฐสภา" นั้น ในทรรศนะของผมมีจริง แต่ไม่ใช่ในความหมายที่ตื้นเขินอย่างที่กล่าวกัน คือแค่มีเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา ก็กลายเป็นเผด็จการทางรัฐสภาไปแล้ว ความเข้าใจที่ตื้นเขินเช่นนี้ นำไปสู่ข้อสรุปอย่างมักง่ายว่า ต้องทำให้เสียงข้างมากในสภาไม่เด็ดขาดนัก นั่นคืออย่าได้มีรัฐบาลพรรคเดียว แต่ต้องเป็นรัฐบาลผสม ยิ่งผสมโดยพรรคที่เข้าร่วมมีอำนาจต่อรองค่อนข้างมาก โอกาสที่จะเกิดเผด็จการทางรัฐสภาก็ยิ่งยากขึ้น

แต่รัฐบาล อภิสิทธิ์ที่เพิ่งผ่านมา ก็พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะพรรคแกนนำและพรรคร่วมอาจเกี้ยเซี้ยแบ่งผลประโยชน์กัน โดยไม่ต้องฟังเสียงประชาชนเลยก็ได้
การจัดสรร "โควตา" รัฐมนตรีตอนจัดตั้งรัฐบาลผสมต่างๆ ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่า เป็นการเตรียมตัวไปยึดเสียงข้างมากเด็ดขาดในรัฐสภา เพื่อดำเนินนโยบายอย่างไรก็ได้ โดยไม่มีกลไกที่จะสามารถกลั่นกรองถ่วงดุล ถ้า "เผด็จการทางรัฐสภา" มีความหมายเพียงแค่นี้ อย่างไรเสียเราก็หลีกหนีจากเผด็จการประเภทนี้ในระบอบรัฐสภาไม่ได้

และนี่อาจเป็นเหตุให้คนไทยจำนวนไม่น้อยที่ท้อใจ จนพร้อมจะหันไปหาเผด็จการรูปแบบอื่นๆ เช่น รัฐสภาที่มาจากการแต่งตั้ง ระบอบทหาร ฯลฯ

รัฐสภา ที่มาจากการเลือกตั้งมีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตยแน่ เพราะเป็นสถาบันสำคัญที่เปิดให้แก่การควบคุมตรวจสอบของประชาชน (ผ่านทั้งการเลือกตั้ง และพื้นที่สาธารณะชนิดอื่นๆ เช่น สื่อ หรือการจัดองค์กรเพื่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง)

แต่รัฐสภาและการ เลือกตั้งเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงพอที่จะป้องกันการฉ้อฉลในรูปแบบต่างๆ ได้ โดยเฉพาะในระบอบรัฐสภา ซึ่งถึงอย่างไรฝ่ายบริหารก็ต้องคุมเสียงข้างมากได้เสมอ ปราศจากกลไกทางสังคมที่เข้มแข็งพอจะกำกับควบคุมรัฐสภา อย่างไรเสียก็ย่อมเกิด "เผด็จการทางรัฐสภา" ขึ้นจนได้

จะมาฟูมฟายกับ พฤติกรรมของนักการเมืองก็ไร้ประโยชน์ ซ้ำยังชวนให้ไปเพ้อฝันถึงระบอบเผด็จการรูปอื่นๆ ด้วย ดังคำพูดของท่านผู้ใหญ่ที่ผมนับถือท่านหนึ่ง ซึ่งกล่าวว่า

"ระบบ รัฐสภาในประเทศไทยไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นเผด็จการ เพราะในระบบรัฐสภาที่เป็นประชาธิปไตยจริง ส.ส.ต้องเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับกลุ่มอำนาจใดๆ แต่เนื่องจากรัฐสภาไทยตกอยู่ใต้การบัญชาของบุคคลคนหนึ่ง (ท่านคงหมายถึงคุณทักษิณ ชินวัตร) ระบบรัฐสภาจึงไม่ใช่ทางแก้ปัญหา" (แปลจากภาษาอังกฤษ อาจไม่ตรงกับคำพูดของท่านทุกคำ)

แต่มี ส.ส.ที่ไหนในโลกนอกจินตนาการเชิงอุดมคติล่ะครับ ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง อย่างน้อยเขาก็ต้องจำนนต่ออคติของผู้เลือกตั้งเขามา วุฒิสมาชิกหัวก้าวหน้าบางคนของสภาสูงสหรัฐ ไม่เคยลงคะแนนเสียงให้แก่กฎหมายใดที่มุ่งจะให้สิทธิเสมอภาคแก่คนดำเลย เหตุผลก็เพราะเขาเป็นวุฒิสมาชิกของรัฐทางใต้ที่รังเกียจผิวอย่างรุนแรง แต่เมื่อกระแสเคลื่อนไหวทางสังคมอเมริกัน สนับสนุนความเสมอภาคของคนสีผิว นักการเมืองเหล่านี้ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง หรือต้องเปลี่ยนแนวทางทางการเมืองในเรื่องสีผิวไป

การที่มี บุคคลบางคนสามารถบัญชา ส.ส.ได้เกือบทั้งสภา จึงไม่ใช่ความบกพร่องของระบบรัฐสภา แต่เป็นความบกพร่องที่ใช้ระบบรัฐสภาในสังคมที่ภาคประชาชนไม่เข้มแข็งพอจะ กำกับควบคุมรัฐสภาได้ มีแต่การเลือกตั้ง 4 ปีครั้งเพียงอย่างเดียวเป็นเครื่องมือ
"เผด็จการรัฐสภา" จึงเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ แต่ไม่ใช่ด้วยการรัฐประหาร รอนอำนาจประชาชนลงด้วยการมีวุฒิสภา (หรือสภาผู้แทนฯ) ที่มาจากการแต่งตั้ง หรือใช้ฝูงชนยึดทำเนียบรัฐบาล แต่อาจป้องกันได้ด้วยการสร้างเงื่อนไขทางกฎหมาย ทางการบริหาร ทางเศรษฐกิจ และสังคม เพื่อให้ประชาชนสามารถจัดองค์กรเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองได้โดยสะดวก

ใน ขณะเดียวกันก็อาจออกแบบรัฐธรรมนูญให้รองรับการเมืองภาคสังคม เช่น ลดอำนาจควบคุม ส.ส.ของพรรคการเมืองลง เปิดให้มี ส.ส.ที่ไม่สังกัดพรรค ให้สิทธิการ "เรียกคืน" ส.ส.แก่ประชาชนภายใต้เงื่อนไขอันหนึ่ง มีการลงประชามติในเรื่องแนวนโยบายสำคัญๆ ทุกครั้งที่มีการเลือกตั้งทั่วไป การบริหารในรูปกรรมการต้องมีภาคสังคมร่วมเป็นกรรมการในสัดส่วนที่มีความหมาย

รัฐสภา ก็ไม่อาจลอยอยู่โดดเดี่ยวได้ แต่ต้องคอยฟังเสียงและการเคลื่อนไหวของภาคสังคม (ทุกภาคส่วน) อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งอำนาจของรัฐสภาเองก็ถูกจำกัดลงด้วยเงื่อนไขต่างๆ ดังกล่าวแล้ว "เผด็จการทางรัฐสภา" จึงเกิดขึ้นได้ยาก แม้ว่าอาจมีนักการเมืองบางคนสั่งสมบารมีมาก ก็ไม่สามารถครอบงำรัฐสภาได้เด็ดขาดนัก

น่าเสียดายที่ความเข้าใจอัน ตื้นเขินเกี่ยวกับ "เผด็จการทางรัฐสภา" ในเมืองไทย แพร่หลายมากเสียจนกระทั่ง แทนที่จะช่วยกันคิดหาทางป้องกัน กลับเป็นการชวนกันหันไปหาเผด็จการรูปแบบอื่น

ยิ่งกว่านี้ ในสองปีที่ผ่านมายังมีความพยายามที่จะทำให้การเมืองของภาคสังคมอ่อนแอลง มีการปิดเว็บไซต์และสื่อ ซึ่งเป็นอริกับรัฐบาลหลายพันแห่ง มีการจับกุมคุมขังผู้คนจำนวนมากด้วยข้อกล่าวหาที่คลุมเครือต่างๆ เช่น มาตรา 112 ในกฎหมายอาญา (คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) และกฎหมายคอมพิวเตอร์ ซ้ำยังมีความพยายามแก้กฎหมายหรือออกกฎหมายใหม่ที่ยิ่งทำลายพลังของการเมือง ภาคสังคมลง เช่น พยายามแก้กฎหมายคอมพิวเตอร์ซึ่งเลวร้ายอยู่แล้วให้เลวร้ายยิ่งขึ้น ออกกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุม ซึ่งคือการยึดพื้นที่สาธารณะไปจากประชาชนนั่นเอง ให้อำนาจ กกต.ซึ่งมาจากการแต่งตั้งไว้อย่างไร้ขีดจำกัด จนกระทั่งการตัดสินใจของประชาชนไม่มีน้ำหนักเหลืออยู่อีกเลย

เมื่อ ดูแนวโน้มทั้งหมดเหล่านี้แล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่า "เผด็จการรัฐสภา" ย่อมจะยังเป็นลักษณะเด่นในการเมืองไทยต่อไป ทำให้การต่อสู้ช่วงชิงทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ โน้มเอียงไปทางความรุนแรง เพราะฝ่ายที่ได้ชัยชนะจะได้หมด ในขณะที่ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งไร้อำนาจต่อรอง ย่อมหันไปพึ่งอำนาจนอกระบบ ทำความเสื่อมเสียแก่อำนาจนอกระบบทั้งหลาย ที่ไม่ต้องการเข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก


ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:00:00 น.

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดเส้นทาง ก่อสร้างเส้นทางรถไฟจาก บัวใหญ่ถึงนครพนม รับทางรถไฟระบบรางจาก จีน-เวียดนาม-ลาว


จาก แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ 11 ได้กำหนดทิศทางการพัฒนาโครงข่ายระบบรางซึ่งจังหวัดนครพนม กำลังจะก้าวไปสู่การพัฒนารองรับโครงข่ายระบบรางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในการเตรียมการรองรับโครงข่ายระบบรางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

นายสมดี คชายั่งยืน รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม กล่าวว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดทำโครงการก่อสร้างขยายโครงข่ายเส้นทาง รถไฟจาก อ.บัวใหญ่ ถึง จ.นครพนม และได้รับการจัดสรรงบประมาณจำนวน 25 ล้านบาทเพื่อศึกษาความเหมาะสมของเส้นทางรถไฟ 3 แนวทางได้แก่ แนวทางที่1จาก อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา ผ่าน อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม ผ่าน อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ผ่าน อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ถึง จ.นครพนม ระยะทางประมาณ 380 ก.ม. แนวทางที่2จาก จ.ขอนแก่น ผ่าน อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ผ่าน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ผ่าน อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ผ่าน อ.คำชะอี จ.มุกดาหาร ถึง จ.นครพนม และแนวทางที่ 3 จาก อ.หนองหาร จ.อุดรธานี ผ่าน อ.สว่างแดนดิน อ.พรรณานิคม และ อ.กุสุมาลย์ จ.สกลนคร ผ่าน อ.ปลาปาก ถึง จ.นครพนม ซึ่งขณะนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยได้ลงนามในสัญญาว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาแล้ว และโครงการอยู่ระหว่างการเสนอโครงร่างและแผนการดำเนินงานให้การรถไฟแห่ง ประเทศไทย เห็นชอบ ซึ่งขณะนี้ บริษัทที่ปรึกษาโครงการฯ ได้เข้าชี้แจงต่อผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมถึงรายละเอียดของผลการศึกษาความ เหมาะสมของโครงการก่อสร้างทางรถไฟสาย บัวใหญ่ - นครพนม โดยในขั้นตอนการออกแบบรายละเอียดนั้น บริษัทที่ปรึกษาจะต้องสำรวจเส้นทางที่จะก่อสร้างรางรถไฟผ่านที่ดินของ ประชาชนเพื่อการเวนคืนที่ดินต่อไป
วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 08:43:22 น. ที่มา มติชนออนไลน์