วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"พินิจ" หน่ายการเมือง ปลูกยางสร้างคอนเนกชั่นเจ้าสัว คนอีสานจะรวยๆ บึงกาฬจะเป็นฮับใหญ่สุด







 ชั่วโมงนี้   อดีตสมาชิกบ้านเลขที่ 111 "พินิจ จารุสมบัติ" รองนายกรัฐมนตรีในยุครัฐบาลทักษิณ  ชินวัตร  ได้ผันตัวเองมาเป็นเกษตรกรปลูกยางพารารายใหญ่ในจังหวัดบึงกาฬ หลังจากเว้นวรรคภารกิจทางการเมืองมา 5 ปี


ย้อนกลับไปดูเส้นทางก่อนจะมาเป็น เสี่ยใหญ่   พินิจ ผ่านชีวิตมาแล้วทุกรูปแบบ ในวันหนุ่ม เคยเป็นรองเลขาธิการ ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย   เป็นนักศึกษาหนุ่มหัวก้าวหน้า เรียนคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง     ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ต้องระหกระเหินเข้าป่า ในเขตภูหินร่องกล้า โดยใช้ชื่อว่า "สหายพนัส"


ต่อมา พินิจได้ตัดสินใจก้าวสู่วงการเมืองเต็มตัว ปี 2539 ได้เป็นหัวหน้าพรรคเสรีธรรม ส.ส.จังหวัดหนองคาย

จากพรรคเสรีธรรม พินิจ ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2544 และได้รับตำแหน่ง รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย   ในยุครุ่งเรือง เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีหลายตำแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และรองนายกรัฐมนตรี ก่อน 19 กันยายน 2549  
                                      
นายพินิจ ในวัยอายุ 60 ปี กล่าวว่า เหตุผลที่เลือกเส้นทางอาชีพสวนยางพารา เมื่อ 20 ปีก่อน เพราะเห็นว่า เกษตรกรภาคอีสานมีรายได้ต่ำมาก ซึ่งรัฐบาลได้จัดทำโครงการอีสารเขียวเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร


อาทิเช่น โครงการส่งเสริมปลูกไผ่ตรง ปลูกมะม่วงหิมพานต์ เลี้ยงโค แต่ทุกโครงการล้มเหลวหมด แต่ในขณะนั้น ยางพารา ยังไม่แพร่หลายในพื้นที่ภาคอีสาน ราคายางอยู่ที่กิโลกรัมละ 10 กว่าบาท ทางสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง(สกย.) ได้นำยางมาแจกให้ชาวบ้านนำไปปลูก อย่างไรก็ตามชาวบ้านยังขาดความมั่นใจ เกี่ยวกับผลผลิตที่ออกมา ปลูกแล้วจะได้ผลจริงหรือเปล่า ผลผลิตที่ออกมาจะนำไปขายที่ไหน

"ตอนนั้น เป็น ส.ส.และเป็นรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ สกย. จึงนำกล้ายางมาให้ทดลองปลูกเป็นตัวอย่างนำร่อง เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อมั่นในการปลูกยางพาราจะทำให้รายได้และคุณภาพชีวิตดี ขึ้น ในระหว่างนั้น    ได้ซื้อที่ดิน 300 ไร่ ในอำเภอบุ่งคล้า จังหวัดหนองคาย และนำไปปลูกยางพารา ในปี 2539 ชาวบ้านได้เห็นสวนยาง มีการเจริญเติบโตดี ขายได้ราคา จึงพากันปลูกยางเพิ่มมากขึ้น" อดีตรองนายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ราคายางในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ   พินิจ เชื่อว่า ยางพาราจะกลายเป็นพืชแห่งความหวังของเกษตรกรในภาคอีสาน เพราะช่วยสร้างรายได้และฐานะให้ชาวบ้านเป็นอย่างดี รวมไปถึงจังหวัดบึงกาฬซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลทองของการปลูกยางพารา ราคา ที่ดิน ไร่ละ 2,500 บาท แต่ ปัจจุบันนี้ มีคนมาขอซื้อในราคาไร่ละ 150,000 บาท ยังไม่มีใครขายที่ดินให้เลย เนื่องจากชาวบ้านในจังหวัดบึงกาฬ มีรายได้และฐานะร่ำรวย จากการปลูกยางและรับจ้างกรีดยางเป็นหลัก ในปีที่ผ่านมาโดยเฉลี่ยแล้วเกษตรกรมีรายได้จากขายยางพารา 3,000 ล้านบาท โดยประมาณ อย่างไรก็ตาม รายได้ในส่วนนี้ เฉพาะอำเภอบึงกาฬเพียงแห่งเดียว 

"ช่วงที่รับตำแหน่งรัฐมนตรี ได้ส่งเสริมการขยายพื้นที่ปลูกยางออกไปอย่างกว้างขวาง จังหวัด  บึงกาฬถือว่าเป็นแหล่งยางพาราที่ปลูกมากที่สุดในภาคอีสานซึ่งมีพื้นที่ปลูก ยาง ไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านไร่" 

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจะเว้นจากธุรกิจทางการเมือง แต่ยังคงทำหน้าที่ส่งเสริมการปลูกยางอย่างต่อเนื่อง โดยสนับสนุนข้อมูลและแจกกล้ายางฟรีแก่ชาวสวน โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 200,000 ต้น

ใคร ๆก็รู้ว่า ผมเป็นคนบุกเบิกส่งเสริมการปลูกยางพารา จะสนับสนุนให้ชาวบ้านที่สนใจอยากปลูกยาง โดยให้กล้ายางฟรีเพื่อนำไปทดลองปลูก จนสามารถขยายพันธ์กล้าได้เอง ส่วนในด้านของการตลาด จะมีวิทยุชุมชนคอยประกาศภาวะราคาซื้อขายยางพาราและสินค้าเกษตรให้ชาวบ้านรับ รู้ และยังส่งเสริมให้ชาวเกษตรทำปุ๋ยใช้เอง ลดต้นทุนการผลิต ทั่งนี้เพื่อให้ชาวบ้านรู้จักการพัฒนาการขายและเน้นการเลือกพ่อค้าที่ให้ ราคาดี

อดีตรองนายกรัฐมนตรี เผยว่า มีความสุขกับการ ทำธุรกิจยางพารามาก นอกจากจะช่วยสร้างงานสร้างเงินแล้ว ยังเป็นสะพานเชื่อมมิตรภาพระหว่างตนและเพื่อนพ้องนักธุรกิจ อาธิเช่น คุณศิริธัช โรจนพฤกษ์ (เสี่ยคอมลิงค์) และคุณเทพรักษ์ เหลืองสุวรรณ (เจ้าของบริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด) เป็นนักลงทุนรุ่นแรก ที่ปลูกยางพาราในพื้นที่จังหวัดบึงกาฬ รวมไปถึง เจ้าของเบียร์ช้าง คุณเจริญ สิริวัฒนภักดีก็ยังมีที่ดินปลูกยางนับหมื่นไร่

แต่ปัจจุบันกิจการสวนยางทั้งหมดอยู่ ในความดูแลของ ลูกชายคนเล็กของเจ้าสัวเจริญ (นายปณต สิริวัฒนภักดี) นอกจากนี้ บริษัท ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการค้า ได้แบ่งกล้ายางพันธุ์ RRIM มาให้ตนได้ทดลองปลูก ส่วนนายธนินท์ เจียรวนนท์ (เจ้าสัว ซีพี) ได้แบ่งกล้ายางพันธ์ใหม่ JVP80 (สามารถเปิดกรีดได้เร็วกว่ายางพันธุ์ทั่วไป) ให้ตนนำมาทดลองเช่นกัน

นายพินิจ กล่าวว่า ตนได้เปิดโอกาสให้ชาวบ้านที่สนใจเรื่องการปลูกยางพารา สามารถเยื่อมชม "สวนบ้านโนนไพศาลได้" ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมยางพันธุ์ดี และปลูกปาล์มน้ำมัน รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งโรงงานแปรรูปยางขั้นต้น ทั้งนี้สินค้ายางส่วนใหญ่จะจำหน่ายให้กับบริษัท ศรีตรัง แอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน)


อย่างไรก็ตาม สวนยางของตน ถือเป็นสวนยางตัวอย่างที่มีกระบวนการผลิตแบบครบวงจร ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในการปลูกยางหน้าแล้ง ในอำเภอบึงโขงหลวง ซึ่งใช้เวลาแค่เดือนเดียวสูบน้ำจากแม่น้ำโขงขึ้นมารดต้นยางในช่วงหน้าแล้ง จะทำให้ต้นยางงอกงามดี แต่ต้นทุนจะสูงกว่าปรกติ ซึ่งผลที่ออกมาจะคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างยิ่ง ทั้งนี้ การปลูกต้นยางหน้าแล้งนั้น ใช้เวลาเพียง 5 ปี ก็เปิดกรีดยางได้

อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง เห็นด้วยกับ เจ้าสัว ซีพี ในแนวคิดที่ว่าธุรกิจยางพารา มีโอกาสเจริญเติบโตต่อเนื่อง7-8 ปีข้างหน้า เพราะทั่วโลกมีปริมาณความต้องการใช้ยางสูงถึง ปีละ 12 ล้านตัน แต่ทั่วโลกผลิตยางได้แค่ปีละ 10.2 ล้านตัน ทั้งนี้ ราคายางพาราจะอ่อนตัวลงไป แต่ผลกำไรที่เกษตรกรจะได้รับยังเหลืออีกมาก อย่างไรก็ตาม ธุรกิจสวนยางจึงเป็นสินค้าที่มีอนาคตสดใสมาก


และที่สำคัญในอนาคต จังหวัดบึงกาฬจะเป็นศูนย์กลางผลิตยางที่สำคัญในภาคอีสาน และประเทศไทยยังเป็นแหล่งผลิตยางพาราอันดับหนึ่งของโลกซึ่งมีบริษัทผลิตยาง รถรายใหญ่ของโลก เข้ามาลงทุนทำอุตสาหกรรมในไทย 7 ราย มากที่สุดในโลก อนาคตคาดว่าจะมีนักลงทุนจาก จีน อินเดีย เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพราะจีนเนื่องจากอุตสาหกรรมของจีนกำลังขยายตัว


แม้จะเหลือเวลาอีกไม่ถึง1ปี กับการปลดแอกโทษพันธนาการทางการเมือง พินิจ จารุสมบัติ ก็จะเป็นอิสระ สามารถเข้ามาใช้ชีวิตนักการเมืองได้อย่างเก่าก่อน แต่เขากับบอก "ไม่อีกแล้ว"    อยากทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังคอยช่วยเหลือเป็นที่ปรึกษาให้นักการเมืองรุ่นน้องมากกว่า

รวมถึงตั้งใจจะทำหน้าที่ในบทบาทนายกสมาคมวัฒนธรรม เศรฐกิจไทย-จีน รวมถึงประธานชมรมเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราและปาล์มน้ำมันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบนเพื่อดูแลช่วยเหลือสมาชิกกว่า 3,000 ครอบครัว ให้อยู่ดีกินดี ทั้งยังอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติขนาดนี้ ร่วมกับครอบครัวก็เป็นความสุขสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่ตัวเขาพอใจแล้ว

เรื่อง   ศรางกูล พูลทวี

(ข้อมูล/ภาพ จาก เทคโนโลยีชาวบ้าน / จิรวรรณ โรจนพรทิพย์ )

ที่มา มติชนออนไลน์