วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ชาตินิยม : เพื่ออะไร? เพื่อใคร? อย่างไร? (Nationalism : For what? For whom? How to?)

บทความพิเศษผณิตา ไชยศร สำนักวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา กรณีเขาพระวิหาร ที่ดูเหมือนจะทำท่ายืดเยื้อไปอีกสักระยะหนึ่ง

นอก จากจะนำมาซึ่งประเด็นสำคัญด้านภูมิยุทธศาสตร์ เช่น เรื่องเส้นเขตแดน พรมแดน ดินแดน อธิปไตยของรัฐ รวมไปถึงเรื่องสนธิสัญญาทั้งหลาย ให้บรรดานักวิชาการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ กันอย่างเมามันแล้ว

อีกประเด็นที่ถูกยกขึ้นมา จะว่าเป็นเครื่องมือในการระดมพล หรือหาแนวร่วม ก็อาจจะไม่ผิดนัก นั่นก็คือ เรื่องของ "ชาตินิยม"

มัน เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจว่า คำว่า "รัฐ" "เขตแดนของรัฐ" "อำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนของรัฐ" "ความเป็นชาติ" "ความรักชาติ" "ความหวงแหนในสมบัติของชาติ" "การสูญเสียทรัพย์สินของชาติ" "ความภาคภูมิใจในชาติ" "ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสองรัฐ หรือชาติสองชาติ ที่อยู่ติดกัน" จะถูกตอกย้ำให้พวกเราได้ยินกันบ่อยครั้ง เมื่อมีคนพูดถึงเรื่องไทย-กัมพูชา

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เราจะ "ตีความ" คำว่า "ชาตินิยม" กันอย่างไร เพื่อให้ผลจากการตีความนั้นออกมาเป็นอย่างไร และเพื่ออะไร

ชาตินิยม = ชาติ + นิยม = นิยม ในความเป็นชาติ

คำ ถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า "ความรู้สึกชาตินิยมมันดีหรือไม่" เพราะสิ่งที่เราทุกคนควรจะพินิจพิเคราะห์ก็คือ "จะทำให้ความรู้สึกชาตินิยมนั้นดี และมีประโยชน์ได้อย่างไร"

ดังนั้น หน้าที่ของพวกเรา ก็คือ การตอบคำถามอย่างน้อยก็ใน 2 ส่วน คือ (1) ส่วนเฉพาะตัวเราฝ่ายเดียว และ (2) ในส่วนของการประสานความสัมพันธ์กับชาติอื่น ดังนี้



คำถามสำหรับตัวเราแต่ฝ่ายเดียว (Unilaterally)



1)

เราอยากจะนิยมความเป็นชาติแบบไหน

2) ความเป็นชาติของเราที่มีอยู่ หมายถึงอะไรบ้าง

3) แล้วเรานิยม หรือไม่นิยมจุดไหน ประเด็นไหนในความเป็นชาติที่มีอยู่บ้าง

4) เราจะเผยแพร่และรักษาสิ่งที่เรานิยมไว้ได้อย่างไร

5) เราจะแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือกำจัด สิ่งที่เราไม่นิยมในความเป็นชาติของเราได้หรือไม่ และอย่างไร

6) คำว่า "เรา" ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความแตกต่างของแต่ละบุคคล จะทำอย่างไรที่จะให้เกิด "ความนิยมร่วมกัน" "ความดีร่วมกัน" "ความเห็นพ้องต้องกัน" "เจตนารมณ์ร่วมกัน" "ความคาดหวังร่วมกัน" "เป้าหมายร่วมกัน" "คุณค่าเดียวกัน" ในประเด็นหลักๆ ที่สำคัญ แม้จะเพียงไม่กี่ประเด็น (ในเชิงปริมาณ) แต่มีนัยยะที่ดี ที่สำคัญ เป็นประโยชน์ และส่งผลต่อ "เรา" (ในเชิงคุณภาพ)

7) ทั้งหมดทั้งมวลนั้น คือการค้นหา และสร้าง Identities (ตัวตัว) ที่ "เรา" เห็นพ้องร่วมกันว่าต้องการจะรักษา ดูแล ยึดมั่น นิยมชมชอบ เผยแพร่ สร้างกระแสค่านิยมอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเป็นค่านิยมถาวร วัฒนธรรม และวิถีปฏิบัติ

ฯลฯ

และเมื่อ "เราใน 1 รัฐ หรือ 1 รัฐชาติ" ไม่ได้อยู่ลำพังในโลกนี้ ปฏิสัมพันธ์กับอีกหลายๆ ตัวแสดง หรือหลายๆ ชาติ ทำให้มีสิ่งที่ต้องคิดต่ออีกระดับ



คำถามสำหรับความสัมพันธ์กับชาติอื่นๆ

(Bilaterally/Multilaterally/Universally)



1)

"เรา" อยากจะเผยแพร่อะไรใน "ความเป็นชาติของเรา" ให้ชาติอื่นนิยม ยอมรับ และเข้าใจ

2) ดังนั้น "Identities ของเรา" ก็ควรจะเท่ากับ หรือใกล้เคียงกับ "Image" ของเรา ใช่หรือไม่ เพื่อให้เกิดความเชื่อใจ และความไว้ใจระหว่างกันในระยะยาว และอย่างมั่นคงถาวร

3) แล้ว "เรา" จะยอมรับ "ความแตกต่างของแต่ละชาติ" เคารพและเข้าใจ "ความรู้สึกนิยมในความเป็นชาติของคนชาติอื่นๆ" ได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร

4) ความเข้าใจ ใน "ธรรมชาติของมนุษย์ หรือของรัฐขั้นพื้นฐาน" จะนำไปสู่ "สันติภาพ" ซึ่งควรจะเป็น Common Will ของ "เรา ในฐานะมนุษย์โลก" ได้อย่างไร

5) แล้ว "เรา...มนุษย์" ที่มี สันติภาพ เป็น Common goal (เป้าหมายร่วม) จะชักชวน (persuade) ให้เพื่อนของเราที่ยังไม่เห็น หรือยังไม่มี Common Value (ค่านิยมร่วมกัน) Common Goal (เป้าหมายร่วมกัน) Common Will (เจตนารมณ์ร่วมกัน) มาเห็นพ้องกับ "เรา" ได้อย่างไร ยาวนานและมั่นคง เพียงใด

6) Common Goal (เป้าหมายร่วมกัน) จะทำให้ "เรา" พยายามที่จะหาช่องทาง (Channels) เครื่องมือและวิธีการ (Means) ในช่วงเวลา (Time) ที่เหมาะสม เพื่อก้าวไปสู่หรือได้มา (Achieve) ซึ่งเป้าหมายนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ประเด็นอยู่ที่ว่า จะมียาอะไรหรือไม่ ที่จะรักษาอาการเหล่านี้ ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อมีอุปสรรคเข้ามาขัดขวางเส้นทางสู่เป้าหมายร่วมของเรา

- ยารักษาอาการขี้ลืม ... ลืมว่าเรากำลังจะเดินไปไหน เดินไปยังไง ด้วยกัน ลืมบทเรียนที่เราได้จากประวัติศาสตร์ที่เคยล้มลุกคลุกคลาน หรือทำให้เจ็บมาด้วยกัน

- ยารักษาอาการขี้เกียจ ... ขี้เกียจที่จะพูดคุย ขี้เกียจที่จะสร้างทางด้วยกัน

- ยารักษาอาการเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้ หรือเบื่อหน่าย และหมดความอดทน ... เหน็ดเหนื่อยกับการทำความเข้าใจในความคิดที่แตกต่าง ท้อแท้กับการแก้ปัญหาที่อาจใช้ระยะเวลายาวนาน เบื่อหน่ายกับการรอคอยผลลัพธ์ที่ยังไม่เห็นวี่แวว

- ยารักษาอาการเคยชินกับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็นที่นิยม ... เคยชินกับความรุนแรง ความโกรธ การไม่ไว้ใจ การโกหก และอีกหลายๆ "ความหรือการ" ที่บดบังหรือทำลาย Common Will ของพวกเราไป

ฯลฯ

คราวนี้ก็ได้เวลาที่จะหันมาถามว่า แล้วอะไรที่จะเป็นความดีร่วมกัน เป้าหมายร่วมกัน ค่านิยมร่วมกัน ได้บ้าง

ผู้ เขียนเชื่อว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ยากเกิดไปที่พวกเราจะเห็นหรือค้นหา เมื่อมนุษย์เกิดมามีพื้นฐานหรือธรรมชาติซึ่งประกอบด้วยความดีร่วมกันอยู่ ส่วนหนึ่งที่สำคัญอยู่แล้ว

มันเหมือนกับความเสมอภาคและความเท่าเทียม กันที่ธรรมชาติให้มากับเราทุกคนแต่เกิด สำหรับผู้เขียนแล้ว ความแตกต่างนั้นเป็นเรื่องปลีกย่อยและเล็กน้อย เพราะมันตั้งอยู่บนพื้นฐานความเหมือน ความเสมอภาค และความเท่าเทียมของคนเราทุกคน ...

ถ้ามีใครมาบอกว่าไม่มีความเสมอภาคในโลกนี้ ไม่จริงหรอก ถามตัวเองดีๆ ใครบ้างไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตายบ้าง

... ยังไงซะ "เราทุกคน" ก็คือคน "เหมือนกัน" ...

เมื่อ จุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายของความทรงจำในทุกๆ หนึ่งชีวิตมันเหมือนกัน ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลกที่เราจะมีอะไรๆ อย่างอื่นที่จะนิยมเหมือนกันในระหว่างทางใช่หรือไม่

เป้าหมายที่จะ มีร่วมกันได้ ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล แค่ถามตัวเองว่า "เราชอบอะไร" ถ้าเราโดนกระทำแบบนั้นหรือแบบนี้ เราจะพอใจ ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ

... ถึงจะมีสิ่งที่ชอบไม่เหมือนกัน แต่อะไรที่ทุกคนชอบเหมือนกันถึงจะมีจำนวนไม่มาก แต่ก็มักจะเป็นเรื่องที่สำคัญเสมอ

ยกตัวอย่างเช่น ลองถามใจตัวเอง (ในเบื้องต้น) ก่อนว่า

คำถามชุดแรก

"เราชอบทะเลาะกันมั้ย"

"เราชอบความไม่ไว้ใจกันหรือไม่"

"เราชอบความรุนแรงด้วยมั้ย"

"เราชอบการดูถูกดูแคลนกันหรือไม่"

"เราชอบบึ้งตึง ไม่พูดจา ไม่คบหา กับคนที่เราเคยดีต่อกันในอดีตมั้ย"

"เราชอบการสูญเสียสิ่งที่เราเคยรักและผูกพันหรือไม่"

"เราชอบเสียน้ำตาด้วยความเศร้าใจมั้ย"

"เราชอบหัวใจเต้นแรงเพราะความโกรธหรือไม่"

"เราชอบการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น มั้ย"

"เราชอบการยุแยงตะแคงรั่วหรือไม่"

"เราชอบการใส่ร้าย ป้ายสี มั้ย"

"เราชอบการทุจริต คอร์รัปชั่น ฉ้อโกงหรือไม่"

ฯลฯ

หรือ

คำถามชุดสอง

"เราชอบที่จะหัวเราะ ยิ้ม อุ่นใจ กับสิ่งที่เราเคยหัวเราะ ยิ้ม และอุ่นใจด้วย ใช่มั้ย"

"เราชอบดีต่อกัน ช่วยเหลือกัน แบ่งปัน มีน้ำใจระหว่างกัน กับคนที่ดีกับเรา หรือไม่"

"เราชอบความไว้ใจ และความเชื่อใจ กับคนที่เรานิยมชมชอบ ใช่มั้ย"

"เราชอบความสงบ สันติภาพ ความมั่นคงในสิ่งดีๆ ที่มีร่วมกัน หรือไม่"

"เราชอบหัวใจเต้นแรง เพราะความดีใจ ใช่มั้ย"

"เราชอบน้ำตาไหลด้วยความตื้นตันใจ หรือไม่"

"เราชอบความซื่อสัตย์ โปร่งใส จริงใจ ใช่มั้ย"

"เราชอบกำลังใจ ความปรารถนาดี เจตนาดีๆ หรือไม่"

"เราชอบการให้เกียรติกัน ไม่ดูถูกกัน ไม่สาดโคลนใส่กัน ใช่หรือไม่"

"เราชอบความยุติธรรม

หรือไม่"

ฯลฯ

ถ้า คำตอบของคำถามชุดแรก คือ "ไม่" และคำตอบของคำถามชุดสอง คือ "ใช่" ?Common Will (เจตนารมณ์ร่วม) Common Goodness (ความดีร่วม) ของทุกคนก็มีมาให้เห็นแล้วใช่ไหม

ถ้าทุกคน หรือทุกชาติเห็นพ้องว่า ประเด็นหรือสิ่งต่างๆ ในคำถามชุดล่าง คือสิ่งที่ควรทำ ควรมี ควรนิยม ควรรักษาไว้ระหว่างคนในชาติ และอยากที่จะเผยแพร่ ชักจูงให้คนต่างชาติ "เห็น" "มี" "เข้าใจ" ถึงการคงอยู่ของประเด็นเหล่านี้ (ที่บางทีก็ถูกหลงลืมไป) จนกระทั่งมา "นิยม" กับสิ่งดีๆ ของความเป็นชาติเราด้วยแล้ว ความรู้สึกชาตินิยม ก็จะเป็นสิ่งที่ดี และไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการนำสิ่งที่ไม่ควรจะนิยมเข้ามาในประชาคมโลก ใช่ไหม

แต่ยังไงก็ตาม การค้นหาหรือมองเห็นเป้าหมาย หรือความดีร่วมกัน รวมทั้งการหาเส้นทาง หรือเครื่องมือที่จะก้าวไป รักษา และได้มา ซึ่งสิ่งนั้นๆ เป็นเรื่องของการเรียนรู้ตลอด (หลาย) ชีวิต (อาจจะหลายชั่วอายุคนด้วยเช่น)

บางครั้งก็ต้องการตัวกระตุ้นแรงๆ ปลุกจิตสำนึกบ้าง แต่ถ้าเจตนาที่ดียังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความพยายามที่พวกเราจะเจอมัน

... อะไรๆ มันก็อยู่ของมันตรงนั้น แค่เพียงเราจะมองเห็นและให้ความสำคัญกับมันหรือไม่ ก็แค่นั้นเอง

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นเรื่องที่ต้องร่วมด้วยช่วยกันหาลู่ทางและคำตอบนะคะ ทำคนเดียวไม่ได้

ล้ม บ้าง ลุกบ้าง สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง เหนื่อยบ้าง มีแรงบ้าง หยุดพักบ้าง เดินหน้าบ้าง ถอยบ้าง รุกบ้าง ... ก็ต้องเรียนรู้และยอมรับกันไป

ทั้งดีและร้าย ก็คือบทเรียนที่ดี ที่เราจะมีแต่ได้ทั้งนั้น

คำถามใหญ่จึงอยู่ที่ว่า "เพื่ออะไร เพื่อใคร และอย่างไร"


ที่มา มติชนออนไลน์

ชาวลาว เข้าคูหาใช้สิทธิ์เลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ

 ลาวถือเป็นหนึ่งในประเทศคอมมิวนิสต์ที่เหลืออยู่ในโลก เพียงไม่กี่แห่ง ซึ่งจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติในวันนี้ (30 เม.ย.) แต่ดูเหมือนว่าการเลือกตั้งจะเป็นแค่เพียงการรักษาสถานะดังที่เป็นอยู่เดิม เพราะในภาพความจริงแล้วผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ยังคงเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อพรรคการเมืองที่ปกครองประเทศมานานกว่า 36 ปี



ขณะที่ผู้กำหนดนโยบายที่แท้จริงได้รับการเลือกตั้งไปแล้วเมื่อเดือน มีนาคมที่ผ่านมา เมื่อพรรคประชาชนลาวเพื่อการปฏิวัติ ได้จัดการประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 โดยเลือกนายจูมมะลี ไซยะสอน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี ติดต่อกันเป็นสมัยที่ 2

การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนจะเลือกผู้แทนจำนวน 132 คนจากที่ลงสมัคร 190 คนเข้าไปในสภาแห่งชาติ ซึ่งมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว 17 คน  ชาวลาวที่มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งมีประมาณ 3 ล้านคนจากประชากรทั้งประเทศ 6 ล้านคน คาดว่าจะทราบผลการเลือกตั้งหลังปิดหีบอย่างน้อยประมาณ 1 สัปดาห์

ขณะที่ผู้ที่ลงสมัครส่วนใหญ่เป็นสมาชิกพรรคประชาชนลาวเพื่อการปฏิวัติ ซึ่งปกครองประเทศเพียงพรรคเดียวมานับตั้งแต่ปี 1975 ผลก็คือ ทางเลือกของประชาชนก็พิจารณาแค่เพียงบุคลิกภาพของผู้สมัครมากกว่าแนวคิดหรือ นโยบายทางการเมือง ทั้งนี้เพื่อนำเอาคนหนุ่มสาวยุคใหม่มาทดแทนคนรุ่นเก่าที่ค่อยๆล้มหายตายจาก


นายจูมมะลี ไซยะสอน

นักการทูตต่างประเทศในกรุงเวียงจันทน์กล่าวว่า สภาแห่งชาติได้พัฒนาขึ้นจากการเป็นสภาตรายางอย่างแท้จริง เข้าสู่การเป็นสถาบันที่มีความเป็นตัวของตัวเองในการวิพากษ์วิจารณ์การทำงาน ของรัฐบาลและการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายบางมาตรา แต่นักวิเคราะห์การเมืองลาวมีความเห็นว่า อำนาจที่แท้จริงยังอยู่ในมือของกรมการเมืองและกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ ที่ได้รับเลือกในการประชุมใหญ่ของพรรคซึ่งจัดขึ้นทุก 5 ปีเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ลาวเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล และเต็มไปด้วยพื้นที่ภูเขา ประชาชนราว 6.5 ล้านคน ส่วนใหญ่ยังคงมีฐานะยากจน ขณะที่ผู้นำประเทศถือเป็นหนึ่งในผู้นำที่มักไม่ค่อยเปิดเผยตัวมากนัก และแทบไม่ต้องเผชิญหน้ากับนักการเมืองฝ่ายค้าน และยังคงควบคุมการนำเสนอข่าวอย่างเข้มงวด

ขณะที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นที่น่าพอใจ โดยเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ลาวได้เปิดตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกในกรุงเวียงจันทน์ เพื่อหวังดึงดูดเงินทุนจากต่างชาติและกระตุ้นเศรษฐกิจของหนึ่งในประเทศที่ ยากจนที่สุดในเอเชีย

นายไซมอน ครีก นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับลาวและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต แสดงความเห็นว่า  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องนี่เอง ที่ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาชนลาวเพื่อการปฏิวัติยังคงกุมอำนาจ ไว้ได้ แต่ก็มิได้ทำให้ประเทศหยุดอยู่กับที่แต่อย่างใด คนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามาแทนคนรุ่นเก่าในพรรค และเริ่มมีการสร้างสายสัมพันธ์ทางธุรกิจใหม่ๆเพื่อสร้างเสริมเครื่อข่ายการ อุปถัมภ์

เขากล่าวเสริมว่า แม้ว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะปราศจากพรรคคู่แข่ง แต่ชาวลาวส่วนใหญ่ก็จะกากบาทอย่างระมัดระวังมากขึ้น แม้ว่าจะพิจารณาแค่เพียงระดับการศึกษา ประสบการณ์ หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตา มากกว่านโยบายก็ตาม

สภาแห่งชาติชุดใหม่ของลาวจะเปิดประชุมรับรองรัฐบาลใหม่อย่างเป็นทางการใน เดือนมิถุนายน คาดว่านายจูมมะลี ไซยะสอน ซึ่งเพิ่งได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เมื่อเดือนมีนาคม จะได้รับเลือกเป็นประธานประเทศ และนายทองสิง ทำมะวง จะยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หลังจากเข้ารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วแทนการลาออกอย่าง กะทันหันของนายบัวสอน บุบผาวัน

ที่มา มติชนออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

นี่ไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ผมรู้จัก

ผมเห็นว่าเรื่องดินแดนในมหาวิทยาลัยเป็นสถานที่แห่งความรู้ ความคิด การสร้างสรรค์ โอกาสรวมถึงต้องมีสิทธิเสรีภาพอยู่แล้วจึงนำมาให้อ่านกันซึ่งบทความนี้นำมาจากมติชนออนไลน์วันที่ 28 เมษายน 2554 โดยมีเนื้อความดังนี้

หมายเหตุ บทความชิ้นนี้เขียนโดยผู้ใช้นามว่า "นักศึกษาคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งความเพ้อฝัน" ถูกนำเผยแพร่เป็นครั้งแรกในเฟซบุ๊กส่วนตัวของผู้เขียน มติชนออนไลน์เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจ จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้

ผมมีความใฝ่ฝันมาตลอดว่าผมอยากเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นี้ให้ได้ เนื่องด้วยเป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อที่สุดในด้านสังคมศาสตร์และการเมือง ในที่สุดผมก็ทำสำเร็จและก็ได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ในฐานะนักศึกษาคนหนึ่ง


ภาพแรกที่ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำคือแผ่นป้ายที่เขียนตัวเบ้อ เริ่มว่า ขอต้อนรับสู่ดินแดนแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้ว รวมทั้งหลายๆ คำขวัญที่ตราตรึงเช่นกันในหัวของพวกเราที่เป็นเพื่อนใหม่ การปลูกฝังอุดมการณ์ประชาธิปไตย รักประชาชน หรือการส่งเสริมสิทธิเสรีภาพทางด้านความคิด เป็นสิ่งที่หล่อหลอมเพื่อนใหม่ๆ หลายคนและจุดประกายความหวังที่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ในช่วงแรกเริ่มของชีวิตนักศึกษา


แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่อย่างที่หวังไว้


คำขวัญรักประชาชน เสรีภาพ สิทธิเท่าเทียม ประชาธิปไตย เป็นแค่คำโฆษณาชวนเชื่อขายฝันที่ไม่เคยเห็นมหาวิทยาลัยคิดจะส่งเสริมอย่าง เป็นจริงเป็นจัง แม้แต่องค์การนักศึกษาที่มีประวัติอันยาวนานของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใน ปัจจุบันก็เหลือเพียงแต่คนที่ไม่ได้สนใจประเด็นสังคมการเมืองอย่างจริงจัง เท่าไหร่นัก องค์การนักศึกษาหรือสภาในปัจจุบันไม่เคยแม้แต่จะกล้าแตะประเด็นทางการเมือง แต่ชอบอ้างว่าตนสนใจการเมือง อยากทำอะไรเพื่อสังคม อยากให้นักศึกษามีส่วนร่วมทางการเมือง ฯลฯ และการจัดกิจกรรมที่เกิดขึ้นก็เห็นมีเพียงแต่กิจกรรมที่พร้อมจะมอบความไร้ สาระแก่น.ศ.ในทุกโอกาส


มหาวิทยาลัยเองก็ถูกกลืนหายไปกับทุนนิยมจนโงหัวไม่ขึ้น และแสร้งทำเป็นสนใจวิถีชีวิตแบบติดดินของชาวนาโดยการจัดกิจกรรมเกี่ยวข้าว โดยที่ไม่เคยใส่ใจกับรายละเอียดของกิจกรรมหรือให้ความรู้อย่างเป็นจริงเป็น จรังเกี่ยวกับความทุกข์ยากของชาวนา มีเพียงแต่ข้ออ้างลอยๆ ที่ฟังดูตลกๆ อย่าง "เพื่อเป็นการให้รู้ว่านศ มธ ติดดิน"


และเมื่อมีกลุ่มอาจารย์หรือนักศึกษาที่พร้อมลุกขึ้นมาเขย่าความคิดของนักศึกษาให้ตื่นขึ้น อธิการบดีก็พร้อมที่จะปิดกั้นโอกาสนั้น


ดังวิสัยทัศน์ล่าสุดของอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดร. สมคิด เลิศไพฑูรย์ที่กล่าวไว้ในสเตตัสของตัวเองว่า "ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้มธ.เป็นฐานเคลื่อนไหวทางการเมือง แม้ไม่ผิดกฏหมาย แต่ฉวัดเฉวียน หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดใคร หรือสถาบันใดก็ตาม" (จากเฟสบุ๊ก Somkit Lertpaithoon)


นี่หรือคือความคิดของอธิการบดีมหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ? ถ้าพูดกันตามความเป็นจริงแล้วการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือการออกมาวิจารณ์ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมันต้องเกิดการพาดพิงในตัวของมันเองอยู่แล้วมิใช่หรือ ความหมิ่นเหม่ที่จะละเมิดใครไม่ใช่สิ่งที่เป็นธรรมดาของการวิจารณ์หรอกหรือ?


ต้องยอมรับว่าผมผิดหวังในมหาวิทยาลัยแห่งนี้มาก มหาวิทยาลัยที่ผมตั้งความหวังไว้ว่าจะมีอะไร กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่มีแต่ความกลวงเปล่า เสรีภาพ สิทธิ ความคิดทางการเมืองที่แหลมคม ถูกผลักให้ไปอยู่ขอบนอกของวิสัยทัศน์ที่แท้จริง และถูกทำให้กลายเป็นเครื่องประดับ เหมือนต้นคริสต์มาสต์ที่เต็มไปด้วยสิ่งประดับหลอกลวง


ถ้าอาจารย์จะพูดอย่างนี้แล้วผมว่าอย่าไปส่งเสริมมันเลยเสรีภาพหรือ การเมืองอะไรนั่น ผมว่ายกเลิกการจัดกิจกรรมทางการเมืองทั้งหมดเหมือนที่หลายๆ มหาวิทยาลัยเค้าทำเถอะ จะได้ไม่ต้องมีฐานเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง จะได้ไม่ต้องมีฐานทางความคิดเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคนพึงมี


แล้วจะได้ไม่ต้องไปพูดกับใครอีกว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งเสรีภาพ อายเค้า


ด้วยความเคารพ

จากนักศึกษาคนหนึ่งในมหาวิทยาลัยแห่งความเพ้อฝัน

ที่มา มติชนออนไลน์