วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"มานิต"เซ็นตั้งรองปลัดมท.สอบมติก.พ.ค.3ประเด็น "บุญจง"ปัดข่าวซื้อขายตำแหน่ง เปิดชื่อ41นอภ.แห้ว

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 12:32:00 น.  มติชนออนไลน์


"มานิต"เซ็นตั้งรองปลัดมท.สอบมติก.พ.ค.3ประเด็น "บุญจง"ปัดข่าวซื้อขายตำแหน่ง เปิดชื่อ41นอภ.แห้ว

เผย รายชื่อ 41 นายอำเภอ ส่อ"กินแห้ว" กก.พิทักษ์ระบบคุณธรรม มีมติให้มหาดไทยยกเลิกคำสั่งแต่งตั้ง "มานิต"เซ็นตั้งรองปลัดมท.ปธ.สอบมติก.พ.ค.3 ประเด็น ก่อนเพิกถอนคำสั่งตั้ง 41 นอภ. "บุญจง" ปัดข่าวซื้อขายตำแหน่ง อ้างข่าวปล่อยจากคนอกหักในมท.


"บุญจง"ปัดข่าวซื้อขายตำแหน่งนอภ. อ้างข่าวปล่อยจากคนอกหัก

 

ที่รัฐสภา นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงกรณีคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) มีมติให้นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ ประเภทอำนวยการระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ จำนวน 41 ราย ตามคำสั่ง มท.ที่ 28/2553 ลงวันที่ 15 มกราคม 2553 ว่า ภายหลังทราบมติก.พ.ค. นายมานิตได้ลงนามในคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการคัดเลือกและบรรจุนาย อำเภอ 41 รายเรียบร้อยแล้ว โดยมีนายวิบูลย์ สงวนพงษ์ รองปลัดมท. เป็นประธาน เพื่อพิจารณาตรวจสอบมติก.พ.ค. ที่ชี้ความผิดปกติออกมาใน 3 ประเด็น ทั้งนี้การตรวจสอบดังกล่าวต้องทำโดยเร็วและต้องแล้วเสร็จก่อนการแต่งตั้งโยก ย้ายครั้งใหญ่ในเดือนตุลาคมนี้

ผู้สื่อข่าวถาม ว่า ก.พ.ค. สั่งให้ปลัดมท. เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้ง 41 นายอำเภอ แต่ปลัดมท.  กลับแต่งตั้งรองปลัดมท. ขึ้นมาตรวจสอบเรื่องนี้อีก ถือเป็นการตรวจสอบตัวเองและจะมีผลหรือไม่ นายบุญจง กล่าวว่า เหตุที่ต้องตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบเพื่อดูข้อเท็จจริงเป็นรายประเด็น และดูว่าควรปรับปรุงแก้ไขอย่างไร เช่น นายอำเภอ ทั้ง 41 รายที่ได้รับเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับ 9 ควรต้องกลับไปอยู่ในระดับ 8 เหมือนเดิมหรือไม่ มันมีประเด็นปลีกย่อยมากมาย ก่อนจะเพิกถอนคำสั่งต้องดูรายละเอียดก่อน ไม่ใช่พอสั่งมาปุ๊บต้องดำเนินการทันที


ส่วนกรณีที่ นายกรัฐมนตรีสั่งให้ทุกกระทรวงดูแลการแต่งตั้งโยกย้ายให้เป็นธรรม แต่มักปรากฏข่าวการซื้อขายตำแหน่งขึ้นในกระทรวงมหาดไทยนั้น นายบุญจงกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงใหญ่ มีข้าราชการจำนวนมาก เวลาแต่งตั้งแต่ละครั้ง คนผิดหวังก็คงออกมาให้ข่าวเรื่องการเรียกรับเงิน ซึ่งต้องดูแต่ละครั้งว่ามีหลักฐานหรือไม่ หรือพูดกล่าวหาลอยๆ เหมือนกรณีการสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าในการแต่งตั้งของมท. ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามระเบียบก.พ. และทำทำอย่างด้วยความโปร่งใสและรอบคอบ


เมื่อถามว่า การพูดของนายกฯ ถือเป็นการกดดันและตีกรอบการทำงานเกินไปหรือไม่ รมช. มหาดไทยกล่าวว่า คงไม่ใช่ ไม่ถือเป็นการตีกรอบอะไร แต่นายกฯ อาจห่วงใยในฐานะผู้นำรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่ทำให้เราเกิดความรอบคอบ



จากกรณีที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่ให้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ ประเภทอำนวยการระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ จำนวน 41 ราย  ตามคำสั่ง มท.ที่ 28/2553 ลงวันที่ 15 มกราคม 2553 แต่นายมานิต วัฒนเสน ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) กลับออกมาส่งสัญญาณอาจไม่ปฏิบัติตามมติ ก.พ.ค. ที่จะให้ยกเลิกให้เหตุผลว่าไม่ใช่เรื่องร้ายแรงถึงขั้นต้องยกเลิกคำสั่งนั้น

นายศราวุธ เมนะเศวต ประธาน ก.พ.ค.กล่าวว่า มติ ก.พ.ค.ที่ออกมาเกิดจากการร้องทุกข์ของข้าราชการรายหนึ่ง ซึ่งตามมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ระบุว่าเมื่อ ก.พ.ค.วินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ประการใดแล้ว ให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ปลัดกระทรวง รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือนายกรัฐมนตรี ดำเนินการให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ดังนั้น เมื่อ ก.พ.ค.มีมติให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ 41 คน ปลัด มท.จึงต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด เมื่อถามว่า ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีสิทธิไม่ปฏิบัติตามมติ ก.พ.ค.หรือไม่

นายศราวุธกล่าวว่า มีสิทธิหรือไม่มีสิทธิขึ้นอยู่กับกฎหมาย ถ้าดูกฎหมายแล้วพบว่าไม่มีสิทธิ ก.พ.ค.วินิจฉัยอย่างไร ต้องปฏิบัติตามนั้น   ผู้สื่อข่าวถามว่า หากผู้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามมติ ก.พ.ค. จะมีความผิดอย่างไร นาย
ศราวุธกล่าวว่า ตามกฎหมายไม่ได้ระบุโทษเอาไว้ แต่ผู้ร้องทุกข์สามารถใช้สิทธิฟ้องร้องได้ แต่ ก.พ.ค.ไม่ได้กำหนดว่าการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวต้องแล้วเสร็จภายในกี่วัน เนื่องจากมีกระบวนการภายในของกระทรวงมหาดไทยที่ต้องสะสาง


สำหรับรายชื่อ นายอำเภอ ประเภทอำนวยการระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ จำนวน 41 รายมีรายชื่อ ดังนี้

1.นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกอง กองการเจ้าหน้าที่กรมการปกครอง เป็น ผู้ตรวจราชการกรม กรมการปกครอง 2.นายวิวัฒน์ ฉันทนานุรักษ์ เจ้าพนักงานปกครอง ส่วนยุทธการและการข่าวสำนักอำนวยการกองอาสารักษาดินแดนกรมการปกครอง เป็น ผู้ตรวจราชการกรมกรมการปกครอง 3.นายไมตรี ไตรติลานันท์ เจ้าพนักงานปกครองส่วนรักษาความสงบเรียบร้อย 2 สำนักการสอบสวนและนิติการ เป็น ผู้อำนวยการสำนัก สำนักกิจการความมั่นคงภายในกรมการปกครอง 4.นายจักรพงษ์ เปี่ยมเมตตา นายอำเภอ(นอภ.)บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เป็น นอภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ 5.นายชัยณรงค์ บุญวิวัฒนาการ นอภ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เป็น นอภ.พาน จ.เชียงราย

6.นายชัยวัฒน์ สารสมบัติ นอภ.เด่นชัย จ.แพร่ เป็น นอภ.วังทอง จ.พิษณุโลก 7.นายชาคร วัฒนสินธุ์ นอภ.บ้านหมอ จ.สระบุรี เป็น นอภ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 8.นายฐานิต พรหมทอง นอภ.ดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นอภ.เมืองสุราษฎร์ธานี จ.สุราษฎร์ธานี 9.นายฐานุพงศ์ เจริญสุรภิรมย์ นอภ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ เป็น นอภ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย 10.นายดำรงชัย เนรมิตลกพงศ์ นอภ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เป็น นอภ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์

11.นายทวีชัย พลายชุมพล นอภ.ดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี เป็น นอภ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี 12.นายนิพันธ์ ศิริธร นอภ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ เป็น นอภ.เมืองตรัง จ.ตรัง 13.นายบรรเจิด อนุเวช นอภ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง เป็น นอภ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง 14.นายบัณฑิต สงวนพวก นอภ.เซกา จ.หนองคาย เป็น นอภ.เมืองนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ 15.นายประจวบ แสงสุวรรณ นอภ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เป็น นอภ.เมืองเพชรบุรี จ.เพชรบุรี

16.นายประดิษฐ์ ยมานันท์ เจ้าพนักงานปกครองส่วนอำนวยความเป็นธรรมสำนักการสอบสวนและนิติการกรมการ ปกครอง เป็น นอภ.เมืองชุมพร จ.ชุมพร 17.นายปิยิน ตลับนาค นอภ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น เป็น นอภ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น 18.นายพินิจ เธียรธวัช นอภ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เป็น นอภ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา 19.นายพิภพ บุญธรรม นอภ.สีชมพู จ.ขอนแก่น เป็น นอภ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี 20.นายพิสุทธิ์ บุษยพรรณพงศ์ นอภ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็น นอภ.เชียงคาน จ.เลย

21.นายไพศาล ตรีธัญญา นอภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี เป็น นอภ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี 22.นายภวัต เลิศมุกดา นอภ.คลองใหญ่ จ.ตราด เป็น นอภ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย 23.นายภาณุวัฒน์ เจนประเสริฐ นอภ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี เป็น นอภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 24.นายภาสกร บุญญลักษม์ นอภ.บางกรวย จ.นนทบุรี เป็น นอภ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี 25.นายมนตรี ชัยกาญจนกิจ นอภ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง เป็น นอภ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง

26.นายราชิต สุดพุ่ม นอภ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช เป็น นอภ.เมืองนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช 27.นายเลิศพรไชย ไชยฤทธิ์ นอภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เป็น นอภ.บึงกาฬ จ.หนองคาย 28.นายวัชเรนทร์ สืบสิทธิ์ นอภ.ศีขรภูมิ จ.สุรินทร์ เป็น นอภ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร 29.นายวิรัต อสัมภินาวงศ์ นอภ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี เป็น นอภ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี 30.นายวิโรจน์ ทัฬหะวาสน์ นอภ.สทิงพระ จ.สงขลา เป็น นอภ.ระโนด จ.สงขลา

31.นายศรัทธา คชพลายุกต์ นอภ.เสาไห้ จ.สระบุรี เป็น นอภ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี 32.นายศุภชัย โพชนุกูล นอภ.เขาพนม จ.กระบี่ เป็น นอภ.เมืองภูเก็ต จ.ภูเก็ต 33.นายสมชาย บำรุงทรัพย์ นอภ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี เป็น นอภ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 34.นายสมชาย อนะวัชกุล นอภ.ป่าโมก จ.อ่างทอง เป็น นอภ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง 35.นายสมบูรณ์ ศิริเวช นอภ.จอมบึง จ.ราชบุรี เป็น นอภ.เมืองราชบุรี จ.ราชบุรี

36.นายสมพิศ หาญณรงค์ นอภ.นาหม่อม จ.สงขลา เป็น นอภ.เมืองสตูล จ.สตูล 37.นายสมหวัง รุ่งตระกูลชัย นอภ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็น นอภ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี 38.นายสันติ เหล่าบุญเสงี่ยม นักทรัพยากรบุคคลโรงเรียนข้าราชการฝ่ายปกครองวิทยาลัยการปกครอง กรมการปกครอง เป็น นอภ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี 39.นายสันติชัย คงเถลิงศิริวัฒนา นอภ.สังขะ จ.สุรินทร์ เป็น นอภ.ปราสาท จ.สุรินทร์ 40.นายสุรชัย วัฒนาอุดมชัย นอภ.หนองสองห้อง จ.ขอนแก่น เป็น นอภ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม 41.นายอภิสรรค์ สง่าศรี นอภ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม เป็น นอภ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ


รายงานข่าวจากกลุ่ม 41 นายอำเภอที่ได้รับแต่งตั้งตาม คำสั่งที่ 28/2553 ที่ ก.พ.ค.มีมติให้ กระทรวงมหาดไทยยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ระบุว่า ได้คุยในกลุ่มนายอำเภอที่ได้รับการแต่งตั้งพร้อมกัน และเห็นว่า หากยกเลิกคำสั่งจริง คงต้องฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้การคุ้มครอง เนื่องจากกฎของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เป็นผู้กำหนดให้ในการสรรหาหรือคัดเลือกข้าราชการขึ้นสู่ตำแหน่งให้คำนึงถึง ลำดับอาวุโสเป็นสิ่งสุดท้าย และกำหนดให้ข้าราชการที่อยู่ในตำแหน่งครบ 1 ปี มีโอกาสได้รับการพิจารณาในการขึ้นสู่ตำแหน่งถัดไป ดังนั้น หาก ก.พ.ค.พิจารณาลำดับอาวุโสเป็นหลัก เท่ากับว่าปฏิบัติขัดต่อกฎ ก.พ. จึงจำเป็นที่จะต้องฟ้องร้องต่อศาลปกครอง เพื่อความเป็นธรรมให้กับพวกตน

เปิด"คำวินิจฉัย" หลักเกณฑ์แต่งตั้ง"พิลึก" ! ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553 เวลา 15:30:15 น.  มติชนออนไลน์

เปิด"คำวินิจฉัย" หลักเกณฑ์แต่งตั้ง"พิลึก" ! ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ


คำวินิจฉัยของคณะ กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ที่ให้ยกเลิกคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ ประเภทอำนวยการระดับสูง ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ตามคำสั่ง มท.ที่ 28/2553 ลงวันที่ 15 มกราคม 2553


ที่ ก.พ.ค.มีมติเอกฉันท์ 7 ต่อ 0 นั้น

เอกสารทั้งหมด 57 หน้า โดยหน้าแรกได้บอกผู้ร้อง คือ นายประกาศิต มหาสิงห์ และคู่กรณีในการร้องทุกข์ คือ ปลัดกระทรวงมหาดไทย

ในรายละเอียด คณะกรรมการวินิจฉัยร้องทุกข์ได้วินิจฉัย โดยมีเนื้อหาบางตอนที่น่าสนใจดังนี้

- คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนขึ้นดำรงตำแหน่งประเภทอำนวยการ ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย ได้มีมติเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2552 กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเลื่อนขึ้นดำรง ตำแหน่งประเภทอำนวยการระดับสูง ของทุกกรมในกระทรวงมหาดไทย ประจำปีงบประมาณ 2553 ประกอบด้วย

ก.องค์ประกอบด้านประวัติรับราชการ 50 คะแนน พิจารณาจาก วันเข้าตำแหน่งอำนวยการต้น 30 คะแนน อัตราเงินเดือนปัจจุบัน 10 คะแนน อายุราชการ 10 คะแนน

ข.องค์ประกอบด้านความรู้ ความสามารถ 50 คะแนน พิจารณาจาก การประเมินการปฏิบัติงานของผู้บังคับบัญชา 10 คะแนน ผลงานดีเด่น ย้อนหลัง 5 ปี 15 คะแนน ข้อเสนอเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ในตำแหน่งที่จะแต่งตั้ง 15 คะแนน และสัมภาษณ์ 10 คะแนน

ปรากฏว่ากรมการปกครอง กำหนดรายละประเมิน ดังนี้

0ประวัติการรับราชการ 50 คะแนน พิจารณาจาก

1.ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง 30 คะแนน คำนวณช่วงคะแนน ดังนี้

1.1) 11 ปีขึ้นไป คิดเป็น 30 คะแนน ปรากฏว่ามีผู้ดำรงตำแหน่งนายอำเภอนานถึง 17 ปี (11-17 ปี มีช่วงห่าง 6 ปี)

1.2) 8-10 ปีกว่า แต่ไม่ถึง 11 ปี (ช่วงห่าง 3 ปี) คิดเป็น 29.5 คะแนน

1.3) 6-7 ปีกว่า แต่ไม่ถึง 9 ปี (ห่างกัน 2 ปี) คิดเป็น 29 คะแนน

1.4) 4 -5 ปีกว่า แต่ไม่ถึง 6 ปี (ห่างกัน 2 ปี) คิดเป็น 28.5 คะแนน

1.5) 1-3 ปีกว่า แต่ไม่ถึง 4 ปี (ห่างกัน 3 ปี) คิดเป็น 28 คะแนน

ก.พ.ค. เห็นว่า ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายอำเภอหรืออำนวยการระดับต้น 30 คะแนนนี้มีช่วงห่างของคะแนนเพียง 2 คะแนนเท่านั้น ทั้งที่ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายอำเภอหรือผู้อำนวยการระดับต้นต่างกันมาก ถึง 17 ปี

2.อัตราเงินเดือน 10 คะแนน ให้น้ำหนักคะแนน ดังนี้

2.1) ขั้นที่ 23-24 คิดเป็น 10 คะแนน

2.2) ขั้นที่ 21.5-22.5 คิดเป็น 9.5 คะแนน

2.3) ขั้นที่ 20-21 คิดเป็น 9 คะแนน

2.4) ขั้นที่ 18.5-19.5 คิดเป็น 8.5 คะแนน

2.5) ขั้นที่ 17-18 คิดเป็น 8 คะแนน

2.6) ขั้นที่ 15.5-16.5 คิดเป็น 7.5 คะแนน

2.7) ขั้นที่ 14-15 คิดเป็น 7.0 คะแนน

2.8) ขั้นที่ 12.5-13.5 คิดเป็น 6.5 คะแนน

สำหรับในส่วนของอัตราเงินเดือนนี้ มีช่วงห่างของคะแนน 3.5 คะแนน

3.อายุราชการ 10 คะแนน แบ่งเป็น

3.1) 33 ปีขึ้นปี คิดเป็น 10 คะแนน

3.2) 28-32 ปีกว่าแต่ไม่ถึง 33 ปี คิดเป็น 9.5 คะแนน

3.3) 23-27 ปีกว่าแต่ไม่ถึง 28 ปี คิดเป็น 9 คะแนน

3.4) 17-21 ปีกว่าแต่ไม่ถึง 23 ปี คิดเป็น 8.5 คะแนน

สำหรับในส่วนอายุราชการนี้มีช่วงว่างของคะแนน 1.5 คะแนน

ก.พ.ค. วินิจฉัยว่า เกิดผลคะแนนที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่มีอายุราชการมากกว่า และเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้มีอายุราชการน้อยกว่าที่มีคะแนนประเมินเท่ากับผู้ ที่มีอายุราชการมากกว่า เพราะช่วงการให้คะแนนเรื่องอายุราชการผู้เข้ารับการประเมินมีช่วงแคบเพียง 8.5-10 คะแนน จึงไม่เหมาะสม ไม่เป็นธรรม มีลักษณะเอื้อประโยชน์ให้บุคคลบางราย เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม

นอก จากนี้ ยังพบว่าน้ำหนักคะแนนจะอยู่ในส่วนของประวัติการรับราชการเพียง 1 ใน 3 แต่อยู่ในด้านความรู้ความสามารถมากถึง 2 ใน 3 เป็นการไม่ถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่ฝ่ายปกครองกำหนดไว้ล่วงหน้าคือ 50:50 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว ทำให้เกิดผลในทางที่เป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้เข้ารับการประเมินบางราย ที่มีประวัติการรับราชการที่อาวุโสน้อย อันเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่อาวุโสมาก

ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบผลคะแนนระหว่างประวัติการรับราชการ กับคะแนนความรู้ความสามารถทั้งสองส่วนแล้ว ทำให้เห็นได้ว่ามีค่าน้ำหนักในผลการประเมินไม่เท่ากัน ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการคัดเลือก นั่นคือ ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาวุโสน้อย (ตำแหน่งว่าง 46 ตำแหน่ง แต่มีผู้อาวุโสที่อยู่ใน 46 ลำดับแรกได้การคัดเลือกเพียง 5 คน)

ยกตัวอย่าง บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับที่ 1 อาวุโสตามบัญชีกรมการปกครอง ได้จัดไว้เป็นลำดับที่ 81

บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับที่ 2 มีอาวุโสตามบัญชีที่กรมการปกครองจัดทำไว้เป็นลำดับที่ 327

บุคคลที่ได้รับการคัดเลือกเป็นอันดับที่ 3 มีอาวุโสตามบัญชีกรมการปกครองจัดทำไว้เป็นลำดับที่ 329 เป็นต้น

สำหรับผู้ร้อง คือ นายประกาศิต มหาสิงห์ มีอาวุโสอยู่ในลำดับที่ 4 ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับที่ 107

กรณี ดังกล่าวจึงไม่เป็นกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติไม่เป็นธรรม และเอื้อให้แก่ผู้เข้ารับการประเมินบางรายที่มีประวัติการรับราชการที่ อาวุโสน้อย

ต้องขอยืมคำพูด นายพงศ์โพยม วาศภูติ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยอีกที "เห็นบัญชีแต่งตั้งเช่นนี้ ไม่ต้องเอาสมองคิด แค่เอาเท้าคิด ก็รู้ว่าไม่เป็นธรรมแล้ว ทุเรศที่สุด"

เปิดบันทึกป.ป.ช.คดีทุจริตเข้าร.ร.นอภ.ระบุชัด"วงศ์ศักดิ์"อ้างผู้มีอำนาจใน มท.สั่งยัด150ชื่อให้สอบผ่าน

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 10:00:59 น.  มติชนออนไลน์

เปิดบันทึกป.ป.ช.คดีทุจริตเข้าร.ร.นอภ.ระบุชัด"วงศ์ศักดิ์"อ้างผู้มีอำนาจใน มท.สั่งยัด150ชื่อให้สอบผ่าน

เปิดบันทึก ป.ป.ช.กล่าวหาอดีตอธิบดีปกครอง ร่วมมือกับ3"บิ๊กมท."ทุจริตคดีโรงเรียนนายอำเภอ ชี้พฤติกรรมผิดทั้งอาญา-วินัย ส่วน142ผู้สอบผ่านโดนด้วย ระบุชัด "วงศ์ศักดิ์"รับจัดการตามคำสั่งของผู้มีอำนาจทางการเมืองในมหาดไทย สร้างหลักฐานกระดาษคำตอบใหม่หลังข่าวแพร่สะพัด
-----------

ผู้สื่อข่าวรายงานกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ(ป.ป.ช.)  มีมติเมื่อวันที่ 6 ตุลาคมในคดีการทุจริตสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ(นอ.) ปีงบประมาณ 2552 ว่า มีมูลเบื้องต้นโดยให้แจ้งข้อกล่าวหาทางวินัยและอาญาแก่ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ นายครรชิต สลับแสง เลขานุการกรมการปกครอง และนายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรมการปกครอง ซึ่งดำรงตำแหน่งในขณะนั้น รวมทั้ง แจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้เข้าสอบคัดเลือกอบรมหลักสูตร นอ.ปีงบประมาณ 2552 จำนวน 3 รุ่น (รุ่น 68-70) จำนวน 142 คน ว่า มีความผิดวินัยและอาญา ในฐานะการกระทำการการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงและผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ให้ละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่

รายงานข่าวแจ้งว่า  ในบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของป.ป.ช.มีจุดที่น่าสนใจ 2 ช่วง คือ

ช่วงแรก เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2552 มีหนังสือจากนายวุฒิชัย เชิญประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้อสอบอัตนัยเข้า นอ. วันที่ 20 มีนาคม 2552 แต่นายวงศ์ศักดิ์ ติดราชการ และก่อนถึงวันประชุม นายวงศ์ศักดิ์ ได้เชิญนายวุฒิชัย เข้าไปที่ห้องทำงานแจ้งว่า ผู้มีอำนาจทางการเมืองในกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการผ่านมาทางนายครรชิต ว่าในการสอบคัดเลือกโรงเรียน นอ.ครั้งนี้ ผู้มีอำนาจดังกล่าวมอบรายชื่อผู้เข้าสอบจำนวนประมาณ 150 คน มาให้และแจ้งว่า บุคคคลเหล่านี้จะต้องสอบได้ นายวุฒิชัยจึงตกลงทำคำสั่ง โดยใช้วิชาความรู้ความสามารถทั่วไปมาเป็นข้อสอบ เพื่อสะดวกในการให้คะแนนช่วยเหลือทั้ง 150 คน

"นายวงศ์ศักดิ์ และนายวุฒิชัย ยังสนิทกับนายสำราญ ได้นัดแนะจะเลือกข้อสอบที่นายสำราญ เป็นผู้ออกในวิชาความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง เพื่อให้นายสำราญ ช่วยเหลือ 150 คนด้วย ต่อมาเมื่อถึงวันประชุม (20 มีนาคม) ทุกคนมาตามนัดยกเว้น นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร รองอธิบดีกรมการปกครองขณะนั้น แต่ปรากฎว่า เจ้าหน้าที่กองการเจ้าหน้าที่ได้จัดพิมพ์บัญชีผู้เข้าร่วมทั้งหมดให้ลงนาม ภายหลัง โดยระบุวันประชุมเป็นวันที่ 22 มีนาคม 2552 เพื่อให้ตรงกับคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ โดยได้นำไปให้นายนิรันดร์ ที่ไม่เข้าร่วมประชุมลงชื่อด้วย"บันทึกระบุ

ช่วงที่2 หลังจากมีการจัดสอบ โดยกระดาษคำตอบปรนัยได้ให้มหาวิทยาลัยสุขโทัยธรรมาธิราชไปตรวจ ส่วนกระดาษคำตอบอัตนัย มีกรรมการของกรมการปกครอง เป็นผู้ตรวจนั้น ปราก ฎว่านายวุฒิชัย ได้นำกระดาษคำตอบออกมาตรวจโดยนำรายชื่อ 150 ชื่อ ที่ได้รับมาจากนายวงศ์ศักดิ์ มาช่วยเหลือให้คะแนนสูงๆ ทั้งๆ ที่เขียนคำตอบไม่ดี แล้วมาจัดลำดับที่และรุ่นตามความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมืองและประกาศ รายชื่อให้ทราบ
ต่อมามีข่าวแพร่หลายว่า ผู้บริหารกรมการปกครอง เรียกรับเงินถึงรายละ 8 แสนบาทในหนังสือพิมพ์ และมีการเชิญทั้งนายวงศ์ศักดิ์ และนายวุฒิชัย มาชี้แจงกรรมาธิการ(กมธ.)ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร มีการซักถามเรื่องกระดาษคำตอบ ทั้งสองเกรงว่า จะมีการตรวจสอบกระดาษคำตอบในรายที่ให้ความช่วยเหลือ จึง ให้ประธานนักเรียนอำเภอรุ่น 68 ,69 และ 70 มาพบนายวงศ์ศักดิ์ และนายวุฒิชัย ที่ห้องทำงาน ในวันหยุดเสาร์หรืออาทิตย์ เพื่อนำกระดาษคำตอบเปล่าให้รายชื่อบุคคลที่ช่วยเหลือไปเขียนคำตอบใหม่ โดยให้ตัวอย่างการเขียนที่ทำให้คะแนนได้สูงประมาณ 3-4 ตัวอย่างให้คัดลอก

ปรากฎว่า พนักงานป.ป.ช.ได้จำแนกกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งมีลักษณะการเขียนคำตอบคล้ายกัน 3 กลุ่ม กลุ่มแรก 47 คน กลุ่มสอง 36 คน และกลุ่มสาม 24 ราย

ส่วนคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ก.พ.ค.) มีมติให้กระทรวงมหาดไทย ยกคำสั่งแต่งตั้งนายอำเภอ 41 ตำแหน่ง และแต่งตั้งใหม่ให้ถูกต้องตามขั้นตอนนั้น นายขวัญชัย วงศ์นิติกร รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นายมานิต วัฒนเสน ขณะเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.) แต่ขณะนี้ยังไม่มีหนังสืออย่างเป็นทางการจาก ก.พ.มายังกระทรวงมหาดไทย จึงไม่ทราบว่า ต้องมีวิธีปฏิบัติเช่นใด หากให้ยกเลิกแล้วจะให้ 41 นายอำเภอระดับ 9 ไปดำรงตำแหน่งที่ใด จำเป็นที่จะต้องเปิดตำแหน่งเฉพาะกิจทดแทนหรือไม่ และก่อนหน้านี้กลุ่ม 41 นายอำเภอ ได้หารือกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อขอให้อุทธรณ์คำสั่งของก.พ.ค. แต่ก.พ.ค.ระบุว่าคำสั่งเป็นที่สุดแล้ว จึงต้องรอดูความชัดเจนในเอกสารอย่างเป็นทางการจาก ก.พ.ก่อน หากจะต้องเปิดตำแหน่งเฉพาะกิจก็ต้องให้ทั้ง 41 คน ถอยออกมาแล้วเปิดสอบใหม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากสอบใหม่แล้ว จะตั้งนายอำเภอทั้ง 41 คนนี้กลับเข้ามารับตำแหน่งอีกหรือไม่ นายขวัญชัย กล่าวว่า คงทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะจะถือว่า การคัดเลือกไม่ถูกต้องอีก เหมือนกับว่า มีการตั้งธงไว้ จึงจำเป็นต้องเปิดสอบใหม่ทั้งหมด ส่วนใครจะสอบได้หรือไม่ก็ว่ากันอีกที ทั้งนี้อาจจะต้องให้นักกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยร่วมพิจารณาเรื่องนี้ด้วย
 

เปิดบันทึก"ป.ป.ช."ตีแผ่ พฤติกรรมทุจริตสอบเข้าร.ร.นายอำเภอ 3บิ๊กมท.ส่อผิดอาญา-วินัย 142ผู้เข้าสอบเจอด้วย

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 17:20:16 น.  มติชนออนไลน์

เปิดบันทึก"ป.ป.ช."ตีแผ่ พฤติกรรมทุจริตสอบเข้าร.ร.นายอำเภอ 3บิ๊กมท.ส่อผิดอาญา-วินัย 142ผู้เข้าสอบเจอด้วย (ตอนแรก)

 หมายเหตุ : คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แจ้งข้อกล่าวหาแก่ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง, นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่, นายครรชิต สลับแสง เลขานุการกรมการปกครอง และนายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน กรมการปกครอง ซึ่งเป็นตำแหน่งขณะนั้น รวม 4 คน มี ความผิดวินัยและอาญา รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้เข้าสอบคัดเลือกอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปีงบประมาณ 2552 จำนวน 142 คน ว่ามีความผิดวินัย ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง และทางอาญา พร้อมเรียกมาแจ้งข้อกล่าวหา

บันทึกแจ้งข้อกล่าวหามีความยาว 12 หน้า ระบุพฤติกรรมแห่งคดี 2 ช่วง
ช่วงแรก มีการออกข้อสอบช่วยเหลือข้าราชการ 150 คนที่ได้รับรายชื่อมาจาก ผู้มีอำนาจทางการเมือง อีกทั้งยังช่วยให้คะแนนสูงทั้งๆ ที่เขียนคำตอบไม่ดี ก่อนนำมาจัดลำดับที่และรุ่นให้สอบได้
ช่วงที่สอง เมื่อเกิดกระแสข่าวเรียกรับเงิน รายละ 8 แสนบาท ผู้เกี่ยวข้องเกรงจะถูกตรวจสอบ จึงให้ประธานนักเรียนอำเภอนำกระดาษคำตอบเปล่าพร้อมรายชื่อ 150 คนไปเขียนคำตอบใหม่ย้อนหลัง

"มติชน" ขอนำพฤติกรรมในช่วงแรกมาเสนอเป็นตอนแรก จากนั้นจะนำเสนอช่วงสองในวันต่อไป

-----------------------------------------------------------------

บันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา

ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีคำสั่งที่ 179/2553 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 และที่ 328/2553 ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2553 แต่งตั้งผู้รับผิดชอบสำนวนการไต่สวน และคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ช่วยในการไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีตามคำร้องขอให้ถอดถอน นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกจากตำแหน่ง กรณีส่อว่า ทุจริตต่อหน้าที่และส่อว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ในการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาอบรมหลักสูตรนายอำเภอ (นอ.) ปี 2552 และกล่าวหาข้าราชการกรมการปกครอง (ปค.) อีกหลายคน มีส่วนร่วมกระทำความผิดดังกล่าว ทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย

บัดนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหาเสร็จแล้ว เห็นว่า ข้อกล่าวหานั้นมีมูลความผิด

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552
ปค.ออกประกาศเรื่องการสอบคัดเลือกข้าราชการเข้าอบรมหลักสูตร นอ.ประจำปี 2552 จำนวน 3 รุ่น (รุ่น 68-70) สอบข้อเขียน วันที่ 22 มีนาคม 2552 ที่เมืองทองธานี แบ่งเป็น 2 ภาค ภาคเช้า ภาคความรู้ความสามารถทั่วไป มีข้อสอบปรนัย ซึ่งมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เป็นผู้ออกข้อสอบและตรวจกระดาษคำตอบ และข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ ซึ่ง ปค.เป็นผู้ออกข้อสอบ และตรวจกระดาษคำตอบ (ปกสีเหลือง) ภาคบ่าย ภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง มีข้อสอบปรนัย ซึ่ง มสธ.เป็นผู้ออก และตรวจกระดาษคำตอบ และข้อสอบอัตนัย 1 ข้อ ซึ่ง ปค.เป็นผู้ออกข้อสอบและตรวจกระดาษคำตอบ (ปกสีชมพู)

วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552
ปค.มี คำสั่งที่ 135/2552 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการคัดเลือกข้าราชการ เพื่อเข้าศึกษาอบรมหลักสูตร นอ.ปี 2552 มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการคัดเลือกข้าราชการเข้าศึกษา ประกอบด้วย
1.นายสุรพล ภาษิตนิรันดร์ รองอธิบดี ปค. กลุ่มภารกิจด้านการบริหารงานปกครอง ประธาน
2.นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ (ผอ.กกจ.)
3.นายสุรพล สุวรรณานนท์ หัวหน้ากลุ่มงานวินัย
4.หัวหน้ากลุ่มงานบรรจุและแต่งตั้ง
5.นายวีรเดช วิภูษาภรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานวางแผนอัตรากำลังและพัฒนาระบบงาน เป็นกรรมการ

วันที่ 9 มีนาคม 2552 ปค.มีคำสั่งที่ 205/2552 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการออกข้อสอบอัตนัย มีนายวุฒิชัย เสาวโกมุท และนายครรชิต สลับแสง เลขานุการ ปค. รวมอยู่ด้วย และภาคความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง ซึ่งมีนายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นกรรมการรวมอยู่ด้วย โดยข้อสอบของผู้ใดได้รับการคัดเลือก ผู้นั้นจะเป็นผู้ตรวจข้อสอบอัตนัย

วันที่ 9 มีนาคม 2552
ปค.มีคำสั่งที่ 206/2552 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกข้อสอบอัตนัย ประกอบด้วย
1.นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อปค. ประธาน
2.นายสุรพล ภาษิตนิรันดร์
3.นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร รอง อปค.
4.นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผอ.กกจ.
5.นายวีรเดช วิภูษาภรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานวางแผนอัตรากำลังและพัฒนาระบบงาน เป็นกรรมการ

ปค.มีคำสั่งที่ 207/2552 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการเก็บรักษาโจทย์ข้อสอบอัตนัย ประกอบด้วย
1.นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผอ.กกจ. ประธาน
2.นายวีรเดช วิภูษาภรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานวางแผนอัตรากำลังและพัฒนาระบบงาน
3.นายสุรพล สุวรรณานนท์ หัวหน้ากลุ่มงานวินัย
4.นายอรรถพันธ์ สงวนเสริมศรี นักทรัพยากรบุคคล เป็นกรรมการ

วันที่ 13 มีนาคม 2552
ปค.ได้ประกาศรายชื่อ ผู้มีสิทธิสอบจำนวน 1,642 คน

วันที่ 17 มีนาคม 2552
มีข่าวแพร่หลายออกไปว่า ผู้บริหาร ปค.เรียกรับเงิน 800,000 บาท เพื่อช่วยเหลือให้สอบคัดเลือกได้ ปค. โดยนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ จึงมีหนังสือถึงทุกหน่วยงาน รายงานพฤติการณ์ทุจริตที่พบเห็นไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

วันที่ 18 มีนาคม 2552 มีหนังสือจาก นายวุฒิชัย เสาวโกมุท เชิญประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้อสอบอัตนัย นัดหมายประชุม

วันที่ 20 มีนาคม 2552
เวลา 17.00 น. ที่ห้องปฏิบัติการ อปค. เนื่องจากในวันที่ 22 มีนาคม 2552 นายวงศ์ศักดิ์ติดราชการอื่นต้องเดินทางไปต่างจังหวัด

ก่อนถึงวันประชุม (ระหว่างวันที่ 16-20 มีนาคม 2552 เวลากลางวัน) นายวงศ์ศักดิ์ไปเชิญนายวุฒิชัยเข้าไปพบที่ห้องทำงาน อปค.และแจ้งว่า "ผู้มีอำนาจทางการเมือง" ในกระทรวงมหาดไทยได้สั่งการผ่านมาทางนายครรชิต สลับแสง เลขานุการกรม ว่า ในการสอบคัดเลือก นอ.ครั้งนี้ ผู้มีอำนาจดังกล่าวได้มอบ รายชื่อผู้เข้าสอบประมาณ 150 คน มาให้ และแจ้งว่าบุคคลเหล่านี้จะต้องสอบได้ ซึ่งหมายความว่าจะให้นายวุฒิชัยหาทางช่วยเหลือให้สอบได้ นายวุฒิชัยจึงตกลงทำตามคำสั่ง โดย หารือกันว่าในการคัดเลือกข้อสอบจะให้นำข้อสอบที่นายวุฒิชัยออกในวิชาความรู้ ความสามารถทั่วไปมาเป็นข้อสอบเพื่อสะดวกกับการให้คะแนนช่วยเหลือบุคคลตามราย ชื่อทั้ง 150 คนได้

นอกจากนี้ นายวงศ์ศักดิ์และนายวุฒิชัย ยังรู้จักและสนิทกับ นายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ได้โดยนัดแนะกันจะเลือกข้อสอบ ที่นายสำราญเป็นผู้ออกในวิชาความรู้ความสามารถ ที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง เพื่อให้นายสำราญช่วยเหลือ ในการให้คะแนนกับบุคคลตามระบุชื่อดังกล่าวได้

วันที่ 20 มีนาคม 2552 เวลา 17.00 น. มีการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้อสอบตามนัดหมาย ณ ห้องทำงานของนายวงศ์ศักดิ์ มีผู้เข้าร่วมประชุมคือ นายวงศ์ศักดิ์ นายสุรพล ภาษิตนิรันดร์ นายวุฒิชัย เสาวโกมุท และนายวีรเดช วิภูษาภรณ์ ทั้งนี้ นายนิรันดร์ กัลยาณมิตร รอง อปค.ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วย เนื่องจากติดราชการอื่น ทั้งนี้ ภายหลังการประชุมแล้วได้มีเจ้าหน้าที่กองการเจ้าหน้าที่จัดพิมพ์บัญชีลงชื่อ ผู้เข้าร่วมประชุมทั้ง 5 คนไปให้บุคคลทั้ง 5 คนลงนามในภายหลังโดยระบุวันประชุมเป็นวันที่ 22 มีนาคม 2552 เพื่อให้ตรงกับคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ โดยได้นำไปให้นายนิรันดร์ลงชื่อด้วย

ที่ประชุมคณะกรรมการคัดเลือกข้อสอบได้ตกลงเลือกข้อสอบที่นายวุฒิชัย และนายสำราญเป็นผู้ออกข้อสอบ เป็นไปตามที่นายวงศ์ศักดิ์และนายวุฒิชัยตกลงกันล่วงหน้า โดยมีการปรับเปลี่ยนคำตอบของนายสำราญเล็กน้อย แต่ยังคงมีเค้าโครงเดิมอยู่ และเก็บรักษาข้อสอบและคำตอบดังกล่าวทั้ง 2 ข้อไว้ในกล่องเก็บรักษาในความครอบครองของนายวีรเดช ทั้งนี้ กุญแจกล่องดังกล่าวมีนายวุฒิชัยและนายวีรเดชเป็นผู้ถือ

วันที่ 22 มีนาคม 2552
มี การนำข้อสอบทั้ง 2 ข้อมาพิมพ์และให้ผู้เข้าสอบทำ โดยข้อสอบอัตนัยภาควิชาความรู้ความสามารถทั่วไปใช้สมุดกระดาษคำตอบปกสี เหลือง ภาควิชาความรู้ความสามารถที่ใช้เฉพาะตำแหน่งใช้สมุดกระดาษคำตอบปกสีชมพู มีข้อสอบ 2 วิชา คือ วิชาความรู้ความสามารถทั่วไป และวิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง

เมื่อสอบเสร็จ กระดาษคำตอบปรนัย มสธ.เป็นผู้นำไปตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วส่งผลการตรวจให้ ปค.ในวันที่ 23 มีนาคม 2552 โดยไม่ปรากฏพฤติการณ์ทุจริตในการตรวจข้อสอบปรนัยแต่อย่างใด

สำหรับกระดาษคำตอบอัตนัย ได้ถูกบรรจุแบ่งออกเป็น 2 กล่อง เป็นสมุดคำตอบปกสีเหลือง 1 กล่อง และสมุดคำตอบปกสีชมพู 1 กล่อง เจ้าหน้าที่กองการเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันนำไปเก็บไว้ในห้องทำงานของ นายวุฒิชัย เสาวโกมุท และปิดล็อคไว้ มีเพียง นายวุฒิชัย และเจ้าหน้าที่หน้าห้องอีก 2 คน ได้แก่ น.ส.สรัญญา ใจงาม และนายดุสิต ศิริวราศัย เท่านั้นที่มีกุญแจเปิดได้

วันที่ 23 มีนาคม 2552-24 มีนาคม 2552
นายอรรถพันธ์ สงวนเสริมศรี นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ กกจ. และเจ้าหน้าที่ กกจ.อีก 7 คนช่วยกัน นำกระดาษคำตอบทั้ง 2 กล่อง มาลบข้อความ หรือเครื่องหมายที่พิสูจน์ตัวบุคคลเพื่อให้ผู้ตรวจไม่สามารถรู้ได้ว่า กำลังตรวจกระดาษคำตอบของผู้ใด โดยใช้วิธีตีหมายเลขรหัสไว้กับปกสมุด 2 ตำแหน่ง ตำแหน่งแรกอยู่กลางปก ตำแหน่งที่สองอยู่หัวมุมขวาด้านบน ซึ่งจะมีหมายเลขประจำตัวสอบของผู้เข้าสอบอยู่ จากนั้น จะตัดหัวมุมด้านบนออก แล้วนำมาเก็บแยกต่างหาก โดยนายอรรถพันธ์จะเป็นผู้เก็บรักษารหัสไว้เพียงคนเดียว โดยทำงานเสร็จสิ้นในวันที่ 24 มีนาคม 2552 เวลาประมาณ 16.30 น.

หลังจากนั้นได้เก็บสมุดกระดาษคำตอบทั้ง 2 กล่องกลับเข้าไปยังห้องทำงานของนายวุฒิชัย จากนั้นนายอรรถพันธ์ได้นำรหัสที่ตนเก็บรักษาไว้ใส่ข้อมูลลงในไฟล์ คอมพิวเตอร์ ซึ่งในไฟล์ดังกล่าวเมื่อเปิดดูจะสามารถรู้ได้ว่าผู้เข้าสอบชื่อใด สังกัดใด หมายเลขประจำตัวสอบใด และรหัสสมุดคำตอบเลขที่ใด

วันที่ 25 มีนาคม 2552
เวลา กลางวัน นายวุฒิชัยได้เรียกนายอรรถพันธ์เข้าไปพบในห้องทำงานของตน และขอไฟล์รหัสดังกล่าวนายอรรถพันธ์จึงมอบไฟล์ข้อมูลดังกล่าวให้ไปโดยพิมพ์ เป็นกระดาษ เอ 4 ทั้งนี้ นายอรรถพันธ์ไม่เคยทราบมาก่อนว่านายวุฒิชัย เป็นกรรมการตรวจข้อสอบด้วย และต่อมานายอรรถพันธ์ได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้นายวีรเดช วิภูษาภรณ์ หัวหน้าส่วนให้ทราบ แต่นายวีรเดชก็มิได้ทักท้วงแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ทราบว่านายวุฒิชัยเป็นกรรมการตรวจข้อสอบอัตนัยด้วย

วันที่ 25 มีนาคม-31 มีนาคม 2552 นาย วุฒิชัยได้นำกระดาษคำตอบทั้งปกสีเหลืองและปกสีชมพูออกมาตรวจโดยนำรายชื่อที่ ได้รับมาจากนายวงศ์ศักดิ์ประมาณ 150 คน มาช่วยเหลือให้คะแนนสูง ทั้งๆ ที่เขียนคำตอบได้ไม่ดีหรือเขียนจำนวนน้อยแผ่น แต่ในกรณีของบุคคลอื่นๆ ที่นอกเหนือรายชื่อที่ได้รับมา หากเขียนคำตอบได้ดีมาก นายวุฒิชัยก็จะให้คะแนนมากด้วย แต่คนที่เขียนได้ดีนั้นมีจำนวนน้อย เป็นผลให้รายชื่อที่ได้รับมาเมื่อนำคะแนนที่ให้ไปรวมกับข้อสอบปรนัยแล้ว เป็นผู้ผ่านเกณฑ์ได้รับการคัดเลือก อย่างไรก็ตาม เมื่อนำรายชื่อดังกล่าวมาเรียงลำดับที่และลำดับรุ่นแล้วยังไม่เป็นไปตามความ ประสงค์ของผู้สั่งการ นายวุฒิชัยจึงประสานงานกับนายครรชิต สลับแสง เลขานุการ ปค. เพื่อจัดลำดับว่ารายชื่อใดควรอยู่ในลำดับที่และรุ่นใด ซึ่งท้ายสุดก็ได้ลำดับที่และรุ่นที่ตามความต้องการของผู้มีอำนาจทางการเมือง ในกระทรวงมหาดไทย

วันที่ 30 หรือ 31 มีนาคม 2552
เวลากลางวัน นายวุฒิชัยได้เชิญ นาย สำราญ ตันเรืองศรี มาพบที่ห้องทำงานของนายวุฒิชัย จากนั้นได้นำคะแนนที่ตนจัดทำขึ้นทั้งกระดาษคำตอบปกสีเหลืองและปกสีชมพู ส่งให้กับนายดุสิต ศิริวราศัย เลขานุการของนายวุฒิชัย เป็นผู้เขียนตัวเลข ในแบบฟอร์มลงคะแนนวิชาความรู้ความสามารถทั่วไป และวิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง วิชาละ 31 หน้า จากนั้นนายวุฒิชัยได้ลงนามรับรองคะแนนในแบบฟอร์มวิชาความรู้ความสามารถทั่ว ไป ส่วนนายสำราญลงนามรับรองคะแนนในแบบฟอร์มวิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง โดยไม่เคยนำกระดาษคำตอบปกสีชมพูไปให้นายสำราญตรวจแต่ประการใด
จากนั้นได้นำแบบฟอร์มคะแนนทั้ง 2 วิชาไปให้กับนายวีรเดช และนายอรรถพันธ์ ซึ่งเป็นผู้รวมคะแนนที่ได้รับจาก มสธ. และจาก ปค. ทั้งนี้ คะแนนที่ผู้เข้าสอบทำได้นั้นปรากฏว่าคะแนนจาก มสธ.ของผู้สอบมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ทำให้คะแนนจาก ปค.มีผลเป็นนัยสำคัญที่จะตัดสินว่าผู้ใดจะได้รับคัดเลือกเข้าอบรมครั้งนี้ ซึ่งเมื่อนำใบคะแนนส่วนของ ปค.ไปรวมแล้วเป็นผลให้ผู้ที่มีรายชื่อ 150 คน เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าอบรม นอ.สายผู้สอบคัดเลือก ตรงตามใบสั่งทุกราย

วันที่ 2 เมษายน 2552 ปค.ได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสอบข้อเขียน โดยมีรายชื่อผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือดังกล่าว เป็นผู้ผ่านการสอบด้วย

วันที่ 21 เมษายน 2552 ผู้ผ่านการสอบข้อเขียนเข้าสอบสัมภาษณ์ เพื่อจัดอันดับคะแนนในระหว่างรุ่น 68-70

วันที่ 23 เมษายน 2552 ปค.ประกาศ ผลการคัดเลือกข้าราชการเข้ารับการอบรม นอ.ทั้ง 3 รุ่น คือ รุ่นที่ 68-70 โดยจัดเรียงลำดับสายสอบคัดเลือก 2 คน ต่อด้วยสายประสบการณ์ 1 คน ต่อด้วยสายสอบคัดเลือก 2 คน ฯลฯ จนครบตามจำนวน 288 คน และนัดหมายให้รายงานตัวในวันที่ 26 เมษายน 2552 ณ วิทยาลัยการปกครอง ส่วนสายผู้มีประสบการณ์นัดมารายงานตัววันที่ 21 เมษายน 2552
วันที่ 21 เมษายน 2552 มีผู้ผ่านการคัดเลือกสายผู้มีประสบการณ์ 2 คน ไม่มารายงานตัว ดังนั้น ในวันที่ 23 เมษายน 2552 ปค.จึงมีประกาศผลการคัดเลือกข้าราชการเข้ารับการอบรมเพิ่มเติม โดยเลื่อนลำดับผู้มีประสบการณ์ในลำดับถัดมา ได้แก่ นายอดิศักดิ์ ปัญญา และนายชนรัตน์ ชูประสิทธิ์ เป็นผู้ผ่านการคัดเลือกด้วย

วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา 12:30:21 น.  มติชนออนไลน์ 


เปิดบันทึก"ป.ป.ช."ตีแผ่ พฤติกรรมทุจริตสอบเข้าร.ร.นายอำเภอ 3บิ๊กมท.ส่อผิดอาญา-วินัย 142ผู้เข้าสอบเจอด้วย (ตอนจบ)


หมายเหตุ - สรุปจากบันทึกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งข้อกล่าวหาแก่นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง นายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ นายครรชิต สลับแสง เลขานุการกรมการปกครอง และนายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนันผู้ใหญ่บ้าน กรมการปกครอง รวมทั้งแจ้งข้อกล่าวหาผู้เข้าสอบคัดเลือกอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปีงบประมาณ 2552 รุ่น 68-70 จำนวน 142 คน อย่างไรก็ดี ทั้งหมดยังไม่ถือว่ามีความผิดทางวินัยและอาญา จนกว่า ป.ป.ช.ชุดใหญ่จะชี้มูลความผิดวินัย และศาลจะตัดสินเป็นที่สุด

สำหรับ บันทึกมีความยาว 12 หน้า ระบุพฤติกรรมแห่งคดี 2 ช่วง "มติชน" นำเสนอช่วงแรกไปแล้ว เป็นพฤติกรรมการออกข้อสอบช่วยเหลือข้าราชการ 150 คน ที่ได้รับรายชื่อมาจากผู้มีอำนาจทางการเมือง อีกทั้งยังช่วยให้คะแนนสูงทั้งๆ ที่เขียนคำตอบไม่ดี ก่อนนำมาจัดลำดับที่และรุ่นให้สอบได้ ฉบับนี้จะนำเสนอช่วงที่สอง หลังเกิดกระแสข่าวเรียกรับเงินรายละ 8 แสนบาท ผู้เกี่ยวข้องเกรงจะถูกตรวจสอบ จึงให้ประธานทั้ง 3 รุ่น นำกระดาษเปล่าพร้อมแนวคำตอบไปให้ 150 คน เขียนคำตอบใหม่ย้อนหลัง


ใน ช่วงเดือนมีนาคม 2552 มีข่าวแพร่หลายว่าผู้บริหารกรมการปกครอง (ปค.) เรียกรับเงินถึง 8 แสนบาท/ราย เพื่อช่วยเหลือผู้เข้าสอบคัดเลือกให้สอบได้โดยลงข่าวในหนังสือพิมพ์ "มติชน" ในวันที่ 25 มีนาคม 2552 และข่าวดังกล่าวได้ส่งถึงคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติ มิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2552

คณะกรรมาธิการฯจึงมีหนังสือลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2552 ถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เชิญนายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง (อปค.) ไปชี้แจงในวันที่ 28 พฤษภาคม 2552 ซึ่งนายวงศ์ศักดิ์และนายวุฒิชัย เสาวโกมุท ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ (ผอ.กกจ.) ปค.ได้เข้าชี้แจงตามกำหนดนัด และในระหว่างการชี้แจงมีคำถามว่าผู้ตรวจข้อสอบอัตนัยให้คะแนนไปโดยไม่มีการ ตรวจกระดาษคำตอบ หรือเขียนคำตอบน้อย หรือไม่เขียนกลับได้คะแนนดี ซึ่งทำให้นายวงศ์ศักดิ์และนายวุฒิชัย เกรงว่าจะมีการตรวจสอบกระดาษคำตอบในรายที่ตนให้ความช่วยเหลือ

เมื่อ กลับจากการชี้แจงแล้ว นายวงศ์ศักดิ์และนายวุฒิชัย จึงหารือกันที่ห้องทำงานของนายวงศ์ศักดิ์ ณ กรมการปกครอง และมีข้อตกลงที่จะปกปิดความผิด โดยจะดำเนินการปลอมกระดาษคำตอบเนื้อในซึ่งเป็นกระดาษสีขาว ทั้งในเล่มปกสีเหลืองและปกสีชมพู โดยจะนำกระดาษคำตอบเปล่าที่ยังไม่ได้ใช้ที่เก็บไว้ในห้องทำงานของนายวีรเดช วิภูษาภรณ์ หัวหน้ากลุ่มงานวางแผนอัตรากำลังและพัฒนาระบบงาน ออกมาจำนวนหนึ่งตามจำนวนรายชื่อที่ช่วยเหลือไว้ พร้อมทั้งตรวจดูคำตอบของผู้ได้รับการช่วยเหลือไว้ว่า เขียนข้อความคำตอบของผู้ได้รับการช่วยเหลือไว้ว่า เขียนข้อความคำตอบได้สมควรกับคะแนนที่ให้ไปหรือไม่ หากรายใดได้คะแนนไม่สมควรก็ให้ดำเนินการปลอมเอกสารต่อไป โดยนำกระดาษคำตอบที่เหลือใช้ไปดำเนินการ

และให้นายคิม ปรีเปรม เลขานุการของนายวงศ์ศักดิ์ ซึ่งเป็นประธานรุ่นที่ 68 ไปติดต่อให้ตัวแทนรุ่น 3 รุ่น ได้แก่ นายคิม ปรีเปรม รุ่นที่ 68 นายธีรเกียรติ ทะแพงพันธ์ รุ่นที่ 69 นายวิสุทธิ์ โรมินทร์ รุ่นที่ 70 และนายวัฒนา หัสจันทร์ รุ่นที่ 69 มาพบนายวงศ์ศักดิ์และนายวุฒิชัย ที่ห้องทำงานของนายวงศ์ศักดิ์ ในวันหยุดประจำสัปดาห์ในวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์เพื่อนำกระดาษคำตอบเปล่าไปให้รายชื่อบุคคลที่ช่วยเหลือไว้ไป เขียนคำตอบใหม่ โดยให้ตัวอย่างการเขียนที่ทำให้คะแนนได้สูงไปประมาณ 3-4 ตัวอย่าง ให้แต่ละคนไปคัดลอกให้คล้ายตัวอย่างดังกล่าว แล้วนำกลับมามอบให้นายวุฒิชัย ซึ่งตัวแทนทั้ง 3 รุ่น ก็ได้เดินทางมาพบและรับไปดำเนินการตามคำสั่งของนายวงศ์ศักดิ์ดังกล่าว

หลัง จากนั้นตัวแทนรุ่นได้นำกระดาษคำตอบเปล่าไปให้ผู้เข้าสอบที่มีรายชื่อรวม 142 คน (รายชื่อปรากฏตามเอกสารแนบ) ดำเนินการเขียนข้อความดังกล่าวเพื่อนำมาใช้สอดแทรกแทนเนื้อในกระดาษคำตอบ เดิมทั้งสมุดปกสีเหลืองและปกสีชมพู เมื่อดำเนินแล้วเสร็จตัวแทนรุ่นก็ได้นำกระดาษคำตอบมาส่งให้กับนายวุฒิชัย ซึ่งนายวุฒิชัยก็ดำเนินการปลอมเอกสารกระดาษคำตอบโดยวิธีแกะเนื้อกระดาษคำตอบ สีขาวที่อยู่ด้านในของชุดเดิมซึ่งเก็บอยู่ในห้องทำงานของนายวุฒิชัยออก คงเหลือแต่ปกสมุดทั้ง 2 สีไว้ (เนื่องจากปกสมุดมีลายมือชื่อผู้คุมห้องสอบและเลขรหัสกำกับอยู่ ยากต่อการปลอมขึ้นใหม่) จากนั้นได้นำกระดาษคำตอบที่ทำขึ้นใหม่ที่รับจากตัวแทนรุ่น แกะเนื้อกระดาษคำตอบสีขาวที่เขียนขึ้นใหม่ออกมาแล้วสวมเข้ารวมไปกับปกสมุดคำ ตอบเดิม ทั้งนี้ ร่องรอยการปลอมนั้นสามารถเปิดสมุดคำตอบในหน้าที่ 4 ถึง 5 ออกมาดูจะปรากฏว่ามีร่องรอยรูตรงจุดรอยเย็บกระดาษเก่าค้างอยู่ มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

วันที่ 12 และ 15 มิถุนายน 2552 เจ้าพนักงาน ป.ป.ช. ได้เดินทางไปขอรับกระดาษคำตอบอัตนัยทั้งสมุดจากกองการเจ้าหน้าที่ และได้นำกระดาษคำตอบมาเก็บรักษาไว้

เจ้าพนักงาน ป.ป.ช.ได้จำแนกกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งมีลักษณะการเขียนคำตอบคล้ายกันออกเป็น 3 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1 จำนวน 47 ราย

กลุ่มที่ 2 จำนวน 36 ราย

กลุ่มที่ 3 จำนวน 24 ราย

ทั้ง นี้ ผลการจำแนกกลุ่มดังกล่าวสอดคล้องกับผลการไต่สวนข้างต้นที่ว่ามีการมอบ ตัวอย่างประมาณ 3-4 แบบ ให้ตัวแทนรุ่นที่ 68, 69 และ 70 นำไปให้ผู้ได้รับการช่วยเหลือและเป็นผู้เข้าสอบ 142 รายเขียนขึ้นใหม่

เจ้า พนักงาน ป.ป.ช.ได้ตรวจสอบสมุดคำตอบที่เหลือใช้จากการสอบของกองการเจ้าหน้าที่แล้วผล การตรวจสอบได้ความว่า โดยปกติจะต้องเหลือสมุดคำตอบภาคเช้าปกสีเหลือง 510 เล่ม และภาคบ่ายปกสีชมพู 513 เล่ม แต่กลับเหลือจริงเพียง ภาคเช้าสีเหลือง 299 เล่ม และภาคบ่ายสีชมพู 342 เล่ม ดังนั้น จึงเชื่อได้ว่าสมุดคำตอบที่สูญหายไปได้ถูกนำไปใช้กระทำความผิดตามที่กล่าวมา ข้างต้น

สำนักงาน ป.ป.ช.ได้มีหนังสือ ที่ ปช 0014/6676 ลงวันที่ 9 กันยายน 2552 ถึงอธิการวิทยาลัยการปกครอง เพื่อให้อำนวยความสะดวก โดยนัดหมายให้เจ้าพนักงาน ป.ป.ช.พบกับผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นนักศึกษาหลักสูตรนายอำเภอทั้ง 142 คน ในวันที่ 9 กันยายน 2552 และดำเนินการให้ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 142 คน เขียนข้อความเลียนข้อความในกระดาษคำตอบของกลาง ผลปรากฏว่า ลายมือเขียนเหมือนกันและผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 142 คน ยืนยันรับรองว่าตนเป็นผู้เขียนข้อความในกระดาษคำตอบของกลางด้วยตนเอง



คณะ กรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำของนายวงศ์ศักดิ์ นายวุฒิชัย นายครรชิต สลับแสง เลขานุการกรมและนายสำราญ ตันเรืองศรี ผู้อำนวยการส่วนกำนัน ผู้ใหญ่บ้านฯ มีความผิด ดังนี้

ทางวินัย

ฐาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริต ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551

ทางอาญา

ฐาน เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสารกรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษา เอกสารกระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้นฐานเป็นเจ้า พนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารกระทำการดังต่อไปนี้ในการปฏิบัติการตาม หน้าที่รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความ เท็จรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอัน เป็นความเท็จประมวลกฎหมายอาญา

ผู้เข้าสอบคัดเลือกอบรมหลักสูตรนายอำเภอ ปีงบประมาณ จำนวน 142 คน มีมูลความผิดดังนี้

ทางวินัย

ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551

ทางอาญา

ฐาน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสารหรือดูแลรักษาเอกสารกระทำการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาส ที่ตนมีหน้าที่นั้น ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำเอกสาร รับเอกสารหรือกรอกข้อความลงในเอกสารกระทำการดังต่อไปนี้ ในการปฏิบัติการตามหน้าที่รับรองเป็นหลักฐานว่า ตนได้กระทำการอย่างใดขึ้นหรือว่าการอย่างใดได้กระทำต่อหน้าตนอันเป็นความ เท็จรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอัน เป็นความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา

คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงขอแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าวให้ท่านทราบเพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อไป

องค์ คณะการไต่สวนและคณะพนักงานเจ้าหน้าที่ช่วยในการไต่สวนข้อเท็จจริง ได้แจ้งให้ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาทราบ ในการแจ้งข้อกล่าวหาครั้งนี้ด้วยว่า ในการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาอาจชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาโดยทำเป็นหนังสือชี้แจงด้วยวาจาก็ได้ และผู้ถูกกล่าวหามีสิทธินำทนายความหรือบุคคลที่ผู้ถูกกล่าวหาไว้วางใจเข้า ฟังการชี้แจงหรือให้ปากคำของตนได้ แต่จะทำการชี้แจงแทนไม่ได้ การนำสืบแก้ข้อกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาจะนำพยานหลักฐานมาเอง หรือจะอ้างพยานหลักฐานแล้ว ขอให้พนักงานไต่สวนเรียกพยานหลักฐานมาก็ได้ โดยถ้อยคำหรือคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าวอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันผู้ ถูกกล่าวหาในการพิจารณาได้ ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิที่จะชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและนำสืบแก้ข้อกล่าวหาภายใน เวลาอันสมควรแต่อย่างช้าไม่เกิน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับทราบข้อกล่าวหา



ข้อสอบที่โดนจับพิรุธ

คำถาม 2 ข้อในข้อสอบอัตนัยที่มีการให้ข้าราชการ 142 คน เขียนคำตอบใหม่แล้วนำไปแทรกแทนเนื้อในกระดาษคำตอบเดิม จน ป.ป.ช.จับพิรุธได้

@ วิชาความรู้ความสามารถทั่วไป

ถาม ว่า อำเภอซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการที่จะ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" ให้แก่ประชาชนทั้งด้านสังคมเศรษฐกิจ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากท่านเป็นนายอำเภอท่านจะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเครื่องมือในการ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" แก่ประชาชนในทุกๆ ด้านให้มีความมั่นคงและยั่งยืนได้อย่างไร อธิบาย

@ วิชาความรู้ความสามารถเฉพาะตำแหน่ง

ถาม ว่า นายอำเภอในฐานะหัวหน้าส่วนราชการ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการประจำอำเภอทุกส่วนราชการเป็นผู้ช่วยในงานเฉพาะด้าน และยังมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเหลือในภารกิจของนายอำเภอ ถ้าท่านเป็นนายอำเภอ ท่านมีหลักในการปฏิบัติงานกับ (ก) หัวหน้าส่วนราชการ (ข) กำนัน ผู้ใหญ่บ้านอย่างไร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด อธิบาย

วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นักวิชาการฝรั่งตั้งคำถาม นโยบาย "ลูกเสืออินเตอร์เน็ต" ของรัฐบาลจะสำเร็จแค่ไหน?

วันที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 เวลา 20:33:33 น.  มติชนออนไล

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1278163660&grpid&catid=06

นิโคลัส ฟาร์เรลลี่ นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ได้เขียนบทความชื่อ "จากลูกเสือชาวบ้านถึงลูกเสือบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต" (ฟรอม วิลเลจ สเก๊าท์ส ทู ไซเบอร์ สเก๊าท์ส) ลงในเว็บล็อก "นิวแมนดาลา" (นวมณฑล) ซึ่งมีเนื้อหาโดยสังเขปดังต่อไปนี้

ในช่วงเวลาก่อนการมาถึงของ "ยุคดิจิตอล" นโยบายทางด้านความมั่นคงแห่งชาติของไทย มักจะมีหน่วยปฏิบัติงานเป็นทหารในกองทัพ, กองกำลังพลเรือน, เจ้าหน้าที่ตำรวจ และองค์การภาคพลเมือง

หนึ่งในองค์กรเหล่านั้นซึ่งนำไปสู่กรณีถกเถียงกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1970 ก็คือ "ลูกเสือชาวบ้าน" แม้ว่าวันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ขององค์กรดังกล่าวจะเป็นเพียงความทรงจำอันรางเลือน ทว่าลูกเสือชาวบ้านก็ใช่จะปลาสนาการไปจากสังคมไทยเลยเสียทีเดียว

ปัจจุบันนี้ พวกเขาถือเป็นหน่วยงานอย่างเป็นทางการหน่วยหนึ่งที่ขึ้นตรงกับกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และศูนย์ปฏิบัติการลูกเสือชาวบ้านฯ ก็ยังมีภารกิจในการระดมผู้คนและโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างต่อเนื่อง

การที่ลูกเสือชาวบ้านยังคงมีความสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยดำรงอยู่ภายในหน่วยงานราชการด้านความมั่นคง จึงส่งผลให้พวกเขาสามารถจะเคลื่อนพลออกมาได้อีกครั้งหนึ่ง

ล่าสุดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพิ่งเดินทางไปเป็นประธานพิธีเปิดโครงการสร้าง "ลูกเสือบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต" (Cyber Scout) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นหนึ่งในความพยายามของรัฐบาลที่จะ "ควบคุมตรวจตรา" สื่อออนไลน์

รายงานข่าวระบุว่า ลูกเสือบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตจำนวน 200 คน จะประกอบไปด้วย นักเรียนนักศึกษา, ครูอาจารย์, ข้าราชการ และผู้ปฏิบัติงานภาคเอกชน ซึ่งมีความรู้ความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต

หน้าที่ของลูกเสือออนไลน์เหล่านี้ย่อมต้องเป็นการ "เฝ้าสังเกตตรวจตรา" บรรดาเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ตลอดจนสถาบันสำคัญ ๆ ของสังคม

อย่างไรก็ตาม ฟาร์เรลลี่กลับมองว่านโยบายดังกล่าวเป็นเพียงกลยุทธเพื่อให้มีข่าวคราวของรัฐบาลปรากฏอยู่ในพื้นที่สื่อ ซึ่งถูกจัดขึ้นพอเป็นพิธีเท่านั้น

เนื่องจากที่ผ่านมาความพยายามในการควบคุมตรวจตราอินเตอร์เน็ตของรัฐบาลมีทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวผสมผสานกันไป เมื่อเว็บไซต์ใดถูกบล็อก คนทำก็ไปสร้างเว็บใหม่ในพื้นที่แห่งใหม่ ขณะเดียวกัน บรรดากลุ่มผู้ใช้อินเตอร์เน็ตที่ติดตามเว็บไซต์เหล่านี้ก็ยังเริ่มตระหนักรู้ถึงวิธีการในการตอบโต้นโยบายการควบคุมสื่อออนไลน์

เนื้อหาในเว็บไซต์ที่ถูกบล็อกกลับได้รับการทำสำเนา นำไปเผยแพร่ซ้ำ ตลอดจนกลายเป็นที่ดึงดูดใจของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากขึ้น ด้วยสถานะ "ผิดกฎหมาย" ของมัน

นอกจากนี้ วิธีการบล็อก "เว็บเพจ" เพียงหน้าใดหน้าหนึ่งของ "เว็บไซต์" บางแห่งก็ถูกดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และถูกเยาะเย้ยไปพร้อม ๆ กัน เพราะยิ่งเนื้อหาในเว็บเพจดังกล่าวถูกแบน มันก็จะกลายเป็นประเด็นยอดนิยมที่ได้รับความสนใจจากผู้คนมากยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นการกระตุ้นคนที่เพิกเฉยไม่ใส่ใจเรื่องราวรอบตัว ให้หันมาสนใจเรื่องราวที่กำลังถูก "แบน" อีกด้วย

แม้การดำเนินนโยบายเช่นนี้ของรัฐบาลจะทำให้คนบางกลุ่มมีความเชื่อมั่นว่า รัฐไทยจะสามารถควบคุมระลอกคลื่นจำนวนมหาศาลอันทรงพลานุภาพแห่งการวิพากษ์, การเสียดสีเหน็บแนม และการเผชิญหน้ากับคำวิจารณ์ต่าง ๆ ซึ่งซ่อนแฝงอยู่นอกเหนือไปจาก "เส้นขอบฟ้า" (ขอบเขตความรู้หรือประสบการณ์ในการทำความเข้าใจโลก) ของสังคมไทยเอาไว้ได้

แต่นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียกลับไม่เชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะบรรลุผลสำเร็จ มิหนำซ้ำ มันยังอาจเป็นตัวการกร่อนเซาะทำลายความน่าเชื่อถือของหลาย ๆ สถาบันสำคัญในสังคมไทยเสียเอง

ฟาร์เรลลี่ปิดท้ายบทความชิ้นนี้ว่า เป็นที่แน่ชัดว่าการไหลเวียนแพร่หลายของ "เนื้อหาต้องห้ามผิดกฎหมาย" ทางสื่ออินเตอร์เน็ตยังจะดำเนินต่อไป และอาจมีอัตราในการส่งต่อที่รวดเร็วมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่น่าสงสัยเหลือเกินว่า ถึงที่สุดแล้วรัฐบาลไทยชุดนี้จะต้องการ "ลูกเสืออินเตอร์เน็ต" จำนวนมากมายมหาศาลสักเพียงไหนมารับมือกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น?

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ตำรวจรับมือพระราชทานเพลิง"เสธ.แดง"วันนี้ สาวโผล่อ้างเป็นเมียพร้อมลูกวัย 5 ขวบ "ดช.นักรบ สวัสดิผล"

วันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 07:46:40 น.  มติชนออนไลน์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277167628&grpid=00&catid=


 

ตำรวจรับมือพระราชทานเพลิง"เสธ.แดง"วันนี้ สาวโผล่อ้างเป็นเมียพร้อมลูกวัย 5 ขวบ "ดช.นักรบ สวัสดิผล"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 22มิ.ย. เวลาประมาณ 17.00 น. จะมีงานพระราชทานเพลิง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ"เสธ.แดง" ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจคากการณ์ว่าจะมีประชาชนมาร่วมงานกันจำนวนมาก โดยเฉพาะแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือ นปช. โดยศูนย์ปฏิบัติการ (ศปก.) กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า มีความเคลื่อนไหวเข้าร่วมงานหลายกลุ่ม อาทิ กลุ่ม นปช.เชียงใหม่ จำนวน 30 คน นำโดย นายศรีวรรณ จันทร์ผง และนายมหวรรณ กะวัง กลุ่มสมาชิกชมรมคนเสื้อแดงนครพนม 52 จำนวน 20 คน กลุ่ม นปช.อ.เมืองตาก จำนวน 10 คน นำโดย นายณรงค์ บัวบาน กลุ่ม นปช.แพร่ ประมาณ 50 คน นำโดย นายสันติ ศักดิ์ศรี กลุ่ม นปช.นครสวรรค์ 51 และ นปช.นครสวรค์ 52 ประมาณ 30 คน นำโดย นายไชยโรจน์ วงศ์สิทธิกร และนางธรพร แซ่ตั้ง 

นอกจากนี้รายงานข่าวจากสันติบาลแจ้งว่า ยังมีกลุ่ม นปช.อุตรดิตถ์เตรียมเข้าร่วมงาน 50 คน  นปช.เลย ประมาณ 20 คน นปช.หนองคาย ประมาณ 30 คน  นปช.อุบลราชธานี ประมาณ 20 คน นปช.ชัยภูมิ ประมาณ 60 คน นปช.นครราชสีมา ประกอบด้วย กลุ่มคนของแผ่นดินลูกหลานย่าโม 51 ประมาณ 15 คน  กลุ่มแดง ดี ดี คลับ นครราชสีมา ประมาณ 15 คน กลุ่มการ์ดและแนวร่วม นปช.นครราชสีมา ประมาณ 20 คน เป็นต้น

ด้านขณะที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เปิดเผยว่า บช.น.มอบหมายให้เป็น ผบ.เหตุการณ์ มีรอง ผบก.อีก 4 คนแบ่งหน้าที่กันทำงาน ทั้งการจราจร กำลังตำรวจปราบจลาจล กำลังสนับสนุน การสืบสวนสอบสวน รวม 800 นาย หน่วยที่สำคัญๆ ในการดูแลความเรียบร้อยก็คือ กองร้อย ปจ. 4 กองร้อย ตำรวจนอกเครื่องแบบ สายตรวจปะฉะดะ สายตรวจสายสมร และตำรวจจราจรเพื่อดูแลความเรียบร้อยด้านจราจร ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งการให้ ผกก.สน.นางเลิ้ง ประสานดูแลความเรียบร้อยบริเวณงานทั้งหมด คาดว่าจะมีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก

"จากการข่าวไม่คาดว่าน่ามีความรุนแรงแต่อย่างใดเพราะเป็นงานศพ เป็นงานเศร้าโศก แต่ตำรวจไม่ประมาทวางกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบดูแล รวมถึงก่อนการจัดงานจะให้หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (EOD) เข้าตรวจสอบพื้นที่ก่อนจะมอบให้ตำรวจในพื้นที่ดูแลต่อไป" ผบก.น.1 กล่าว

พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รอง ผบช.น.รับผิดชอบงานจราจร กล่าวถึงการจัดอำนวยความสะดวกการจราจรบริเวณโดยรอบวัดโสมนัสราชวรวิหารว่า ในวัดไม่มีที่จอดรถ ผู้ที่นำรถยนต์มาเองคงต้องใช้ที่จอดรถบริเวณริมถนนกรุงเกษม ถนนลูกหลวง และ ถนนราชดำเนิน ช่องคู่ขนานทั้งเส้น นอกเหนือจากนั้นก็ให้ไปจอดได้ที่สนามม้านางเลิ้ง พระราม 8 สนามหลวงบางส่วน บริเวณลานจอดรถในวัดจะเว้นพื้นที่ให้ว่างไว้ การจัดการจราจรจะให้เข้าทางด้านถนนกรุงเกษมและถนนราชดำเนิน ออกทางด้านถนนนครสวรรค์และถนนจักรพรรดิพงษ์ ใช้ระบบวันเวย์ คาดว่าคนจะมามากแต่ระบุจำนวนไม่ได้

ทางด้าน "เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ"  รายงานว่า  เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 21 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐเดินทางไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งภายในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านปิ่นเกล้า เพื่อขอพบ และพูดคุยกับ น.ส.ลัดดาวัลย์ พลฤทธิ์ อายุ 33 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช หลังทราบข้อมูลว่า น.ส.ลัดดาวัลย์ อ้างว่า เป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง ของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ "เสธ.แดง" ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก โดยเธออ้างว่า ได้คบหากับ เสธ.แดง มานานจนมีบุตรชายด้วยกัน แต่ยังไม่เคยมีใครนำเรื่องนี้มาเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้

ทั้งนี้ เมื่อผู้สื่อข่าวเดินไปถึงที่ร้านตามนัดหมายก็พบ น.ส.ลัดดาวัลย์ พร้อมบุตรชายทราบชื่อคือ ด.ช.นักรบ สวัสดิผล หรือ "น้องแดงน้อย"  อายุ 5 ขวบ มานั่งรออยู่ก่อนแล้ว จากการสอบถาม น.ส.ลัดดาวัลย์ เล่าให้ฟังว่า รู้จักกับ เสธ.แดง ตั้งแต่ปี 2546 ช่วงนั้นตนทำงานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง มีภารกิจที่ต้องติดตามข่าวสารของ เสธ.แดง จึงมีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันไว้ และติดต่อกันเรื่อยมา ทำให้ตนทราบว่า เสธ.แดง เป็นพ่อหม้ายมีลูกติด ส่วนภรรยาเสียชีวิตไปแล้วจึงตัดสินใจคบหากระทั่งเกิดความรู้สึกที่ดี และมีสัมพันธ์กัน หลังจากที่รู้จักกันได้ประมาณ 1 ปี

น.ส.ลัดดาวัลย์ เล่าต่อว่า จากนั้นเมื่อปี 2547 ตนได้ตั้งครรภ์กับ เสธ.แดง ซึ่งทาง เสธ.แดง ก็แสดงความรับผิดชอบมาตลอด จนคลอดลูกออกมาเป็นบุตรชาย ทำให้ เสธ.แดง ดีใจมาก โดยตั้งชื่อให้ว่า ด.ช.นักรบ และยินยอมให้ใช้นามสกุล สวัสดิผล พร้อมทั้งยังเป็นผู้ตั้งชื่อเล่นให้ด้วยว่า น้องแดงน้อย ซึ่งในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ตนพาลูกกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดที่ จ.นครศรีธรรมราช ส่วน เสธ.แดง ก็คอยดูแลส่งเสีย และมักหาเวลานัดพบตนกับลูกอย่างสม่ำเสมอเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง กระทั่งปัจจุบันนี้บุตรชายเรียนอยู่ชั้นอนุบาล 3 ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน เสธ.แดง ก็มักจะพาลูกไปเที่ยวสวนสัตว์ ไปขี่ม้า และพาไปดูรถถัง โดยความฝันของ เสธ.แดง คืออยากให้ลูกเป็นนายทหาร และเป็นนักรบที่เก่งให้ได้เหมือนอย่างพ่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่าพอทราบข่าวการเสียชีวิตของ เสธ.แดง แล้วรู้สึกอย่างไร น.ส.ลัดดาวัลย์ ตอบว่า รู้สึกใจหาย และเสียใจมากเพราะ เสธ.แดง ถูกยิงก่อนวันที่น้องแดงน้อย จะเปิดเทอมเพียง 1 วัน ซึ่งในช่วงเช้าวันที่ 14 พ.ค. ตนพยายามโทรศัพท์หา เพื่อบอกว่าลูกกำลังจะไปโรงเรียน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ จนกระทั่งมีญาติสนิทมาแจ้งข่าวว่า เสธ.แดง ถูกยิงตั้งแต่ช่วงกลางดึกอาการเป็นตายเท่ากัน ตอนนั้นพยายามให้กำลังใจตัวเองด้วยการสวดมนต์ไหว้พระบอกกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้เกิดปาฏิหาริย์ และทำใจเรื่อยมา จนเสธ.แดง สิ้นลมที่วชิรพยาบาลเมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงสาเหตุที่ตัดสินใจออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสังคม น.ส.ลัดดาวัลย์ ตอบว่า ตนพาลูกเดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อมากราบศพ เสธ.แดง เป็นครั้งสุดท้าย เพราะในวันที่ 22 มิ.ย.  ก็จะมีพิธีพระราชเพลิงศพที่วัดโสมนัสแล้ว ทีแรกตั้งใจว่าจะพากันไปที่วัดตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อถ่ายรูปหน้าศพเก็บไว้ เป็นที่ระลึก และจะอยู่กันอย่างเงียบๆ จนเสร็จพิธี พอคิดอีกทีก็รู้สึกสงสารลูกที่ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างลับๆ มาตลอด 5 ปีแล้ว ซึ่งจากนี้ไปน้องแดงน้อย ควรอยู่ในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี และบอกใครๆ ได้เต็มปากว่า เป็นลูกชายของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล โดยเฉพาะหากตนมีโอกาสทำความฝันของ เสธ.แดง ด้วยการส่งเสียผลักดันให้ลูกได้เป็นนายทหารจริงๆ ลูกจะได้ไม่รู้สึกลังเลที่จะบอกใครต่อใครว่าเป็นทายาทของ เสธ.แดง

"ขอยืนยันว่าไม่ได้ออกมาเรียกร้องเพื่อขอรับสิทธิ์หรือขอความช่วย เหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น เพราะวางแผนเอาไว้แล้วว่าจะทำธุรกิจหาเลี้ยงลูกด้วยลำแข้งของตัวเอง ที่ตัดสินใจเอาเรื่องนี้ออกมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนก็เพื่อความชอบธรรมของลูก ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปในสังคมเท่านั้น โดยตนพร้อมที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงทุกอย่างว่า น้องแดงน้อย เป็นทายาทของ เสธ.แดงจริงๆ และตนก็ไม่กลัวถ้าหากมีใครต้องการให้พิสูจน์เรื่องนี้ด้วยผลตรวจทางดีเอ็นเอ" น.ส.ลัดดาวัลย์ กล่าว

ด้าน ด.ช.นักรบ สวัสดิผล หรือ "น้องแดงน้อย" ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวอย่างไร้เดียงสาว่า "คุณพ่อหนูชื่อ ขัตติยะ สวัสดิผล ตอนนี้ตายไปแล้วเพราะถูกผู้ร้ายยิง หนูคิดถึงคุณพ่อมาก อยากให้คุณพ่อพาไปสวนสัตว์ ดูจระเข้ ดูฮิปโป ขี่ช้าง อยากให้คุณพ่อสอนยิงปืนใส่ก้อนหินให้อีก หนูจะตั้งใจเรียนเพราะอยากเป็นทหารเหมือนคุณพ่อ"

4ศพนิรนาม โผล่อีกเหยื่อ"พค." มี"ดช.วัย12"

วันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7144 ข่าวสดรายวัน

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNekl4TURZMU13PT0%3D&sectionid=TURNd01RPT0%3D&day=TWpBeE1DMHdOaTB5TVE9PQ%3D%3D

โดน"สไนเปอร์"ส่องหัว ถูกยิงดับ-ที่หมอเหล็ง อีกราย-เมียสูญหาย! ตร.นัดสอบ"นิก"เยอรมัน


สูญหาย- นายสมนึก ชีโพธิ์ โชว์รูปนางแจ่มจันทร์ ภรรยาที่หายสาบสูญไปช่วงสลายม็อบแดง ส่วนรูปเล็กศพเด็กชายวัย 12-13 ปีถูก สไนเปอร์ยิงตายบริเวณซอยหมอเหล็ง ซึ่งตำรวจสน.พญาไทระบุว่ายังไม่มีญาติมาติดต่อรับศพ ตามข่าว

ตำรวจสน.พญาไทนัดนักข่าวเยอร มันให้ปากคำคดีทหารยิงแท็กซี่ตาย เผยยังมีอีก 4 ศพนิรนามที่ถูกยิงระหว่างกระชับพื้นที่ ย่านหมอเหล็ง สุดสลดหนึ่งในนั้นเป็นเด็กชายอายุ 12 ปีโดนยิงที่หัวสิ้นใจตาย อีกรายเป็นหญิงชาวพิจิตรถูกยิงระหว่างเดินเก็บของเก่า ผัวเผยตามหาเมียที่ไปร่วมชุมนุมแล้วสูญหายไปจนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบชะตากรรม ตามหาทุกแห่งแล้วแต่ก็ไม่พบตัว
จากกรณีนายนิก นอสติทซ์ ผู้สื่อข่าวอิสระชาวเยอรมัน เข้าแจ้งความตำรวจสน.พญาไท ให้ช่วยติดตามตัวชายที่ถูกยิงเสียชีวิตที่ย่านราช ปรารภ ล่าสุดทราบแล้วว่าผู้เสียชีวิตคือ นายชาญณรงค์ พลศรีลา ซึ่งนายนิกได้เดินทางไปพบน.ส.มนชยา หรือน้องส้มโอ พลศรีลา อายุ 25 ปี ลูกสาวนายชาญณรงค์ และเล่าเหตุการณ์ที่นายชาญณรงค์ถูกยิงตายให้น.ส.มนชยาฟัง ต่อมาน.ส.มนชยาเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานในเหตุการณ์ที่พ่อถูกยิงตาย ทวงถามความยุติธรรม เตรียมเข้าแจ้งความเอาผิดกับคนสั่งการ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน สน.พญาไท กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนายนิกให้ช่วยติดตามตัวนายชาญณรงค์ว่าจากการตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว เชื่อว่าผู้เสียชีวิตคือนายชาญณรงค์จริง และได้ให้นายนิกไปรวบรวมภาพถ่ายที่สามารถยืนยันได้ และได้นัดให้มาพบอีกในวันจันทร์ที่ 21 มิ.ย.
พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ กล่าวว่าในเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ทหารเข้ากระชับพื้นที่โดยปิดล้อมพื้นที่ในถนนราชปรารภจนถึงย่านประตูน้ำ เมื่อวันที่ 17-19 พ.ค. และมีการยิงปะทะกับการ์ดนปช. และประชาชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหลายรายในย่านหมอเหล็ง ในจำนวนนี้มี เพศชาย จำนวน 3 ราย และเพศหญิง 1 ราย ที่ถูกยิงเสียชีวิตในช่วงดังกล่าวในจุดที่เกิดเหตุนั้นอยู่ใน ย่านหมอเหล็ง ที่อยู่ในถนนราชปรารภ จนถึงบริเวณทางรถไฟ มีระยะทางยาวประมาณ 200 เมตร ซึ่งผู้เสียชีวิตที่เป็นชายทั้งหมดนั้น ขณะนี้ยังไม่ทราบชื่อและยังไม่มีญาติมาติดต่อกับทางตำรวจแต่อย่างใด และในจำนวน 3 รายนี้ มีอยู่ 1 รายเป็นเพศชาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรูปไปให้ประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในละแวกที่เกิดเหตุและพบศพดู ก็ทราบว่าเป็นคนใบ้ มีอาชีพรับจ้างทั่วไป ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง และรูปศพของเด็กชายอายุประมาณ 13 ปี รวมอยู่ด้วย 1 ราย ที่เสียชีวิตอยู่ในบริเวณย่านหมอเหล็ง ส่วนศพของผู้หญิงที่มีข่าวว่าเป็นคนเก็บของเก่านั้นขณะนี้มีข้อมูลว่าเป็นชาวจังหวัดพิจิตร "ในวันจันทร์ที่ 21 มิ.ย.พนักงานสอบสวนได้นัดสอบปากคำ นายนิก นอสติทซ์ ผู้สื่อข่าวอิสระ ชาวเยอรมัน ในเวลาประมาณ 13.00 น. ที่สน.พญาไท"
พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ กล่าวอีกว่า เด็กชายอายุประมาณ 12-13 ปี ถูกยิงเข้าที่ศีรษะเสียชีวิตคาที่ อีกรายเป็นผู้หญิงวัยกลางคนอีก 1 คน เบื้องต้นพอทราบแล้วว่าเป็นชาวจังหวัดพิจิตร เป็นคนเดินเก็บของเก่าอยู่ในที่เกิดเหตุ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีญาติพี่น้องมาติดต่อรับศพ จึงฝากประชาสัมพันธ์ ให้ผู้ที่สงสัยว่าเป็นญาติพี่น้องที่หายตัวไปสามารถขอดูภาพถ่ายได้ที่สน.พญาไท โดยเฉพาะศพเด็กชายวัย 12-13 ปี หากใครเป็นญาติ ขอให้รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วย
หลังจากที่น.ส.พ.ข่าวสด สืบหาญาติของผู้สูญหายที่แจ้งหายไว้กับมูลนิธิกระจกเงา หลังจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยุติลง ซึ่งบางรายพบตัวแล้ว แต่บางรายยังไม่พบ เช่นเดียวกับกรณีนางแจ่มจันทร์ ชีโพธิ์ อายุ 48 ปี ถูกแจ้งเป็นผู้สูญหายในกลุ่มนปช. อยู่บ้านเลขที่ 13/18 หมู่ 2 ต.คลองเกลือ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี หลังจากเดินทางไปตามที่อยู่ดังกล่าว พบกับนางหนูแดง พินานันทชัย อายุ 53 ปี กล่าวว่า นางแจ่มจันทร์ เป็นน้องสะใภ้ของตน ขณะนี้นายสมนึก ชีโพธิ์ ซึ่งเป็นน้องชายของตน และสามีของนางแจ่มจันทร์ กำลังตามหาอยู่เช่นกัน
"ป้า กับแจ่มจันทร์ เจอกันบ้าง และรู้ว่าแจ่มจันทร์ ชอบไปชุมนุมกับพวกเสื้อแดง แต่ทางสมนึก แฟนเขาก็ไม่อยากให้ไป จากนั้นแจ่มจันทร์ก็หายตัวไปเมื่อเดือนพ.ค. ไม่ติดต่อมาอีกเลย ก่อนหน้านี้เคยถามแบบแหย่ว่า ไปชุมนุมกับเสื้อแดงเนี่ยได้ตังค์มั้ย ถ้าได้ป้าจะได้ไปด้วย แล้วที่หลับที่นอนหละนอนที่ไหน แจ่มจันทร์บอกว่า ไม่เคยได้ตังค์หรอก แต่ไปด้วยใจ ส่วนเรื่องที่นอนก็นอนใต้สะพานลอย ไม่ก็นอนใต้สะพานรางรถไฟฟ้า และไม่เคยกลัวเพราะสนุกมาก" นางหนูแดง กล่าว
เมื่อถามว่าตอนนี้กังวลเรื่องอะไรมากที่สุด นางหนูแดง กล่าวว่า กังวลว่าแจ่มจันทร์จะตายไป แต่ถ้าได้รู้ข่าวว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะอยู่กับใคร จะเป็นนปช.คนไหน กลุ่มไหนก็รู้สึกสบายใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากพูดคุยกับนางหนูแดง ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ เพื่อติดต่อกับนายสมนึก สามีของนางแจ่มจันทร์ จนมาพบนายสมนึก ที่บ้านพักในซอยร.ร.อัมพรไพศาล ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี นายสมนึก กล่าวว่า นางแจ่มจันทร์ หายตัวไปตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. ก่อนจากกันเป็นครั้งสุดท้าย นางแจ่มจันทร์ ได้ขออนุญาตกับตนว่าจะไปร่วมชุมนุม แต่ตนขอร้องไม่ให้ไป หลังจากที่ตนออกไปทำงาน พอกลับมาก็ไม่พบกับนางแจ่มจันทร์ แล้ว
"ก่อนหน้านี้แจ่มจันทร์ ไม่เคยเล่าให้ผมฟังว่าไปร่วมชุมนุมมา ปกติแจ่มจันทร์ เป็นคนชอบเข้าวัด นั่งสมาธิ แต่วันที่ 6 พ.ค. เขาเป็นอะไรไม่ทราบมาขอกับผมว่า จะไปชุมนุมกับเสื้อแดง เห็นว่ามีพรรคพวก เพื่อนของเขามาชวนไป แต่ผมขอว่าอย่าไปเลย อยากให้อยู่บ้านดูแลลูกๆ พอตอนเย็นผมกลับมา แจ่มจันทร์ก็ไม่อยู่แล้ว มาดูเสื้อผ้าก็ยังอยู่ครบ" นายสมนึกกล่าว
นายสมนึก กล่าวถึงชีวิตแต่งงานระหว่างตนกับนางแจ่มจันทร์ว่า แต่งงานกันมากว่า 30 ปีแล้ว เป็นคน จ.นครศรีธรรมราช เหมือนกัน มีลูกด้วยกัน 2 คน ปัจจุบันตนมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ส่วนแจ่มจันทร์ อยู่บ้านเป็นแม่บ้าน หลังจากที่แจ่มจันทร์หายไป ตนได้เดินทางเข้าไปประกาศหาในที่ชุมนุมบริเวณสี่แยกราชประสงค์ถึง 3 ครั้ง แต่แจ่มจันทร์ก็ไม่เคยออกมาพบกับตนเลยสักครั้ง จากนั้นได้วานให้เพื่อนที่ไปชุมนุมประกาศหานางแจ่มจันทร์ อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยพบเลย
"หลังจากมีการสลายการชุมนุม ผมได้เดินทางไปแจ้งความคนสูญหายที่มูลนิธิกระจกเงา สน.ปทุมวัน สน.ปากเกร็ด และเมื่อมีข่าวแจ้งว่านำตัวกลุ่มนปช. บางส่วนไปคุมขังที่เรือนจำคลองเปรม ที่ค่ายทหาร จ.จันทบุรี และจ.สระบุรี ก็ไปมาหมดแล้ว แต่คว้าน้ำเหลว ล่าสุดได้เดินทางไปที่พรรคเพื่อไทย เพื่อหารายชื่อผู้เสียชีวิต แต่ก็ไม่มีชื่อของเมีย นอกจากนี้ยังเดินทางไปดูศพผู้เสียชีวิตที่ ร.พ.กลาง ร.พ.ราชวิถี ร.พ.ตำรวจ เดินทางไปทุกที่ที่ข่าวออกมาว่านำตัวกลุ่มนปช.ไป แต่ไม่พบตัว" นายสมนึก กล่าวด้วยสีหน้าซึมเศร้า

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ลูกสาวโฮ นักข่าวเยอรมันเล่า วันพ่อถูกยิง

วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7142 ข่าวสดรายวัน

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREU1TURZMU13PT0=

เจ็บสาหัสที่ราชปรารภ ทหารไล่ล่าก่อนเป็นศพ พม.มอบ4แสน"คนตาย" ญาติย้ำ-ไม่คุ้มค่าชีวิต!


สูญเสีย - น.ส.มนชยา พลศรีลา อายุ 25 ปี น้ำตานอง ขณะรับฟังนายนิก นอสติทซ์ นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน เล่าถึงเหตุการณ์วันที่นายชาญณรงค์ พลศรีลา บิดาถูกทหารยิงเสียชีวิตที่ราชปรารภ เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.

นักข่าวเยอรมันได้พบลูกสาวแท็กซี่ เหยื่อปืน "ราชปรารภ" แล้ว เล่าเหตุการณ์ที่ถ่ายภาพวัน ถูกยิงตรงแนวยางรถยนต์ ทำเอาลูกสาวผู้ตายร่ำไห้โฮออกมา ฝ่ายนักข่าวเองก็สะเทือนใจจนพลอยร้องไห้ตามไปด้วย ลูกสาวเผยสองคนกับแม่ ออกตามหาศพพ่อตามร.พ.ไปทั่ว จนไปเจอที่รามาฯ มีภาพถ่ายในสภาพเน่าไปแล้วแต่ก็ยังจำได้ พม.แจกเงินเยียวยา 200 ราย รายที่ตายได้รับ 4 แสน แต่ญาติต่างย้ำถึงได้เงินชดเชยก็ไม่คุ้ม ทั้งที่ตายไปก็ไม่ใช่คนเสื้อแดง แต่ผ่านไปเจอลูกหลง
จากกรณีนายนิก นอสทิส นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน เดินทางไปพบตำรวจสน.พญาไท เพื่อตามหาผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงคนหนึ่ง ซึ่งนายนิกเห็นเหตุการณ์ขณะถูกทหารยิงบาดเจ็บ ขณะอยู่แนวยางรถยนต์บนถนนราชปรารภ ก่อนได้รับการยืนยันจากตำรวจว่าชายดังกล่าวเสียชีวิตไปแล้ว ชื่อนายชาญณรงค์ พลศรีลา อายุ 45 ปี อาชีพแท็กซี่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วนั้น
เมื่อวันที่ 18 พ.ค. น.ส.มนชยา หรือส้มโอ พลศรีลา อายุ 25 ปี พนักงานข้าราชการ กองทัพอากาศ บุตรสาวนายชาญณรงค์ พลศรีลา อายุ 45 ปี ผู้เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปพบนายนิก นอสทิส นักข่าวอิสระชาวเยอรมัน ที่เห็นเหตุการณ์ขณะนายชาญณรงค์ถูกยิง และพยายามเข้าไปช่วยเหลือ โดยทั้งสองนัดหมายเจอกันที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ย่านสายไหม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.มนชยา หรือส้มโอ สอบถามนายนิก ถึงเหตุการณ์ที่นายชาญณรงค์ถูกยิงทันที โดยสอบถามถึงเรื่องราวต่างๆ วันแรกที่พบพ่อ และช่วงที่ถูกยิงหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนราชปรารภอย่างละเอียด ทั้งนี้ ระหว่างที่นายนิกเล่าเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ต้นให้น้องส้มโอฟัง ทำเอาน้องส้มโอถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ปล่อยโฮออกมาต่อหน้าผู้สื่อข่าว โดยที่นายนิกก็พลอยร้องไห้ออกมาด้วย จนต้องให้น้องส้มโอนั่งพักดื่มน้ำเย็น เพื่อให้หายเครียด ประมาณ 5 นาที จากนั้นนายนิกเล่าเหตุการณ์ต่อช่วงที่นายชาญณรงค์ถูกยิง และช่วงที่นายนิกเข้าไปช่วยเหลือ โดยพยายามนำร่างนายชาญณรงค์ออกจากจุดเกิดเหตุเพื่อไปส่งโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถนำออกมาได้ เพราะขณะนั้นมีกำลังทหารประชิดเข้ามาแล้ว
นายนิก เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ขณะเดินทางไปทำข่าวอยู่บริเวณราชปรารภ ก็ได้พบเห็นนายชาญณรงค์อยู่บริเวณแนวรั้วยางรถยนต์ ขณะนั้นทราบว่าจะมีทหารบุกเข้ามาสลายการชุมนุมบริเวณดังกล่าว ก่อนหน้านี้ตนและนายชาญณรงค์ก็ได้ยืนอยู่ด้วยกัน และตนยังถ่ายรูปนายชาญณรงค์ไว้ด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ตนไม่มีวันลืมตลอดชีวิตแน่นอน ภาพนายชาญณรงค์ถูกยิงวันนั้นยังติดตาตนตลอดเวลา และจะเดินหน้าหาความเป็นธรรมให้กับนายชาญณรงค์ต่อไป
ส่วนน.ส.มนชยา หรือส้มโอ กล่าวว่า บิดาของตนเดินทางไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณแยกราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. และในวันนั้น ตนทราบว่าช่วงประมาณ 15.00 น. จะมีการกระชับพื้นที่ มีความเป็นห่วงพ่อ จึงได้โทรศัพท์ไปหาแต่ไม่ติด คาดว่าน่าจะถูกตัดสัญญาณมือถือ และตลอดทั้งวันทั้งคืนนั้น ก็ไม่สามารถติดต่อพ่อได้เลย จนกระทั่งเช้าวันที่ 16 พ.ค. มารดาตน คือนางสุริยันต์เดินถือหนังสือ พิมพ์ "ข่าวสด" ฉบับบ่ายเป็นวันที่ 17 พ.ค. มาให้ตนดู และบอกว่าพ่อถูกยิงบริเวณราชปรารภ โดยภายในหนังสือพิมพ์วันนั้น เป็นภาพมีชาย 2 คน กำลังหิ้วปีกพ่อออกมาจากที่เกิดเหตุ บริเวณหน้าปั๊มน้ำมันเชลล์


เล่านาทียิง - นายนิก นอสติทซ์ นักข่าวเยอรมัน เล่านาทีที่นายชาญณรงค์ถูกยิงแล้ววิ่งหนีไปหลบในบ่อน้ำ ก่อนจะมีทหารมาลากตัวออกไป และรู้สึกเสียใจมากเมื่อทราบข่าวภายหลังว่านายชาญณรงค์เสียชีวิตในวันนั้น

น.ส.มนชยา กล่าวต่อว่า หลังจากเห็นภาพข่าวว่าพ่อถูกยิง ก็รีบออกตามหาทันทีว่าเขานำพ่อส่งโรงพยาบาลอะไร โดยติดต่อสอบถามไปทุกโรงพยาบาล รวมทั้งศูนย์เอราวัณ ซึ่งเป็นจุดที่รวบรวมรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่ก็ไม่พบ จากนั้นวันที่ 17 พ.ค. ตนได้นำข้อมูลประวัติพ่อโพสต์ลงเฟซบุ๊กและยูทูบ เพราะอยากทราบรายละเอียดคนที่พบเห็นเหตุการณ์หรือคนที่ช่วยเหลือพ่อในวันนั้นว่าเป็นใคร และต้องการทราบความจริงว่าวันนั้นเรื่องราวเป็นอย่างไร น.ส.มนชยา กล่าวอีกว่า กระทั่งวันที่ 19 พ.ค. ตนและแม่ไปตรวจสอบที่ร.พ.วชิระ บริเวณตึกนิติเวชอีก แต่ก็ไม่พบ จึงคิดว่าน่าจะถึงทางตันแล้ว ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน ทางแม่จึงมาบอกให้ตนไปดูที่แผนกนิติเวช ร.พ.รามาธิบดีอีกครั้ง เพราะยังไม่เคยไป พอไปถึงก็ได้เดินเข้าไปยังตึกนิติเวช และสอบถามเจ้าหน้าที่ว่ามีศพชายรูปร่างท้วม ถูกยิงบริเวณราชปรารภ ส่งเข้ามาหรือไม่ ทางโรงพยาบาลจึงนำภาพศพทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมมาให้ดู โดยพบว่ามีอยู่ 2 คนที่ส่งมาจากราชปรารภ ศพแรกเป็นชายรูปร่างผอม ไม่ทราบชื่อ หน้าตาเละ ส่วนศพที่ 2 เป็นชายรูปร่างท้วม มีหนวด อายุประมาณ 40-45 ปี แต่สภาพศพขึ้นอืด ใบหน้าเละจำไม่ได้ เนื่องจากทางโรงพยาบาลไม่ได้ฉีดยา ทั้งนี้ เมื่อตนเห็นศพดังกล่าว จึงยืนยันได้ทันทีว่า คือศพของพ่อตนแน่นอน เพราะจำเสื้อผ้าที่สวมใส่ได้อย่างแม่นยำ จึงประสานขอรับศพไปบำเพ็ญกุศลทันที
บุตรสาวนายชาญณรงค์ กล่าวอีกว่า ตลอดระยะเวลาที่ตามหาพ่อมาตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. ตนก็มักจะฝันเห็นพ่อเกือบทุกวัน โดยในความฝันนั้นเป็นเหตุการณ์พ่อถูกยิง พอตนตื่นขึ้นมา ก็นั่งนึกว่าจะเป็นไปได้หรือ ที่พ่อมาถูกยิงกลางเมืองหลวงแบบนี้ และยังฝันเห็นพ่อนอนอยู่บนผ้าห่อศพสีขาว ซึ่งเหมือนเป็นลางบอกเหตุว่าพ่อน่าจะเสียชีวิตแล้ว จนกระทั่งมาพบศพ และหลังจากที่นำร่างพ่อไปบำเพ็ญกุศล ตนก็ได้ฝันเห็นพ่ออีก โดยพ่อมาทักทาย พ่อมีรูปร่างหน้าตาหนุ่มหล่อ มาบอกสบายดี ตนถึงกับร้องไห้เมื่อฝันถึงพ่อ
ด้านนายนิก กล่าวว่า วันเกิดเหตุ จำได้ว่าหลังจากที่นายชาญณรงค์ถูกยิงที่หน้าปั๊มแล้ว ได้พยายามคลานเข้ามาในปั๊ม ซึ่งขณะนั้นนักข่าวและผู้ชุมนุมได้ไปรวมตัวกันอยู่ที่ห้องน้ำหลังปั๊ม แล้วปีนข้ามรั้วหนีไปยังบ้านหลังหนึ่ง โดยมีคนเสื้อแดงช่วยกันนำร่างนายชาญณรงค์ข้ามมาด้วย แต่นายชาญณรงค์ลงไปนอนหลบแช่อยู่ในบ่อบัว โผล่มาแค่หน้า และยังส่งเสียงร้องให้ตนช่วย บอกว่า "ผมไม่ไหวแล้ว" แต่เมื่อทหารปีนข้ามรั้วมาได้ ก็ด่านายชาญณรงค์อย่างหยาบคายว่า ทำไมถึงไม่ตาย แล้วสั่งให้ตนช่วยดึงขึ้นมาจากน้ำ แต่ตนดึงคนเดียวไม่ไหว ทหารก็เลยเข้ามาดึงแขนนายชาญณรงค์ขึ้นมาแล้วพาข้ามกำแพงไป เมื่อได้ทราบว่านายชาญณรงค์เสียชีวิตแล้ว ก็รู้สึกเสียใจ แต่ถ้าถามตนว่ารู้สึกสบายใจขึ้นหรือไม่ ที่ได้พบบุตรสาวคนที่เสียชีวิต บอกได้ว่าไม่ เพราะการสูญเสียชีวิตนั้น ไม่สามารถที่จะเรียกกลับคืนมาได้


ก่อนตาย - ภาพถ่ายที่นายนิกบันทึกไว้ตอนที่นายชาญณรงค์ยิงหนังสติ๊กสู้กับทหารที่ถนนราชปรารภ ส่วนรูปขวา คนเสื้อแดงพยายาม ลากนายชาญณรงค์ซึ่งถูกยิงสาหัสเข้ามาหลบที่หลังปั๊มน้ำมันใกล้จุดเกิดเหตุ ก่อนจะเสียชีวิต

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า หลังจากที่นายนิกและน้องส้มโอพูดคุยกันเสร็จ ก็ได้แลกเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์ โดยนายนิกรับปากว่าจะส่งภาพเหตุการณ์พ่อน้องส้มโอที่ถูกยิงในวันนั้นให้ดูทั้งหมด
เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นายจิรเดช อานุภาวธรรม ที่ปรึกษารมว.พม. เป็นประธานพิธีมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ความไม่สงบ 200 ราย เป็นผู้เสียชีวิต 4 ราย และผู้บาดเจ็บ 196 ราย แบ่งเป็นประชาชน 119 ราย ทหาร 78 ราย และตำรวจ 3 ราย จำนวนเงิน 9,300,000 บาท โดยกระทรวงได้มอบเงินเยียวยาให้ผู้เสียหายรวมแล้ว 10 ครั้ง รวม 1,205 ราย เป็นเงินทั้งสิ้น 57,004,207 บาท
นางนันที วรรณจักร อายุ 51 ปี มารดาของนายชัยยันต์ วรรณจักร อายุ 21 ปี พนักงานบาร์น้ำโรงแรมอิมพีเรียล สุขุมวิท 24 ซึ่งเสียชีวิตบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อวันที่ 14 พ.ค. กล่าวภายหลังการรับเงินเยียวยา 4 แสนบาทว่า ลูกชายทำงานแผนกบาร์น้ำของโรงแรม จะเลิกงานกลับบ้านเวลาสี่ทุ่มทุกวัน ส่วนครอบครัวและตนอยู่ที่กาฬสินธุ์ ซึ่งตนจะโทรศัพท์มาหาลูกชายช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เป็นระยะทุกวัน แต่วันที่ 14 พ.ค. ทางโรงแรมให้พนักงานกลับบ้านเร็วกว่าปกติ ลูกชายตนได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์กลับที่พักบริเวณหลังสน.พญาไท ย่านถนนเพชรบุรีซอย 5 เวลาประมาณ 19.00 น. ตนได้โทร.เข้ามือถือลูกชาย ก็พบว่าหมอรับสายแจ้งว่าลูกชายถูกยิง 2 นัด ตรงสะโพกซ้ายทะลุเส้นเลือดแดงใหญ่และอีกนัดฝังในบาดเจ็บสาหัส ขณะขี่รถผ่านมาทางสามเหลี่ยมดินแดง ถูกส่งมาโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ ตนจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทันที
"จากนั้นประมาณสามทุ่ม หมอก็โทร.มาแจ้งว่าลูกชายเสียชีวิตแล้ว พอ 7 โมงเช้าวันที่ 15 พ.ค. ฉันถึงกรุงเทพฯ ก็ไปแจ้งความที่สน. ดินแดง และขอรับศพลูกชายไปชันสูตรที่โรงพยาบาลรามาฯ ก่อนนำกลับไปทำพิธีที่บ้าน เราก็ไม่รู้ว่าใครยิงลูกชาย คนที่เข้ามาช่วยก็ถูกยิงตายเหมือนกัน ลูกชายเองไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ไม่เคยมาชุมนุม ทำงานอย่างเดียว ลูกชายเป็นคนกตัญญูมาก เงินเดือนประมาณ 7,000 บาท ก็ส่งให้แม่ 1,500-2,000 บาททุกเดือน วันนั้นเพื่อนลูกชายที่พักด้วยกันก็ซื้อข้าวผัดมารอ แต่สุดท้ายลูกชายก็ไม่ได้กิน" นางนันทีกล่าว
นางนันที กล่าวว่า ตนเสียใจมากที่ต้องสูญเสียลูกชาย ตนเป็นผู้ช่วยครู ดูแลเด็กในศูนย์เด็กฯ ที่กาฬสินธุ์ เงินเดือน 6,200 บาท ส่วนสามีรับจ้างก่อสร้าง มีลูกชายอีกคนกำลังเรียนหนังสือ แม้จะได้รับเงินเยียวยา แต่ไม่เพียงพอกับชีวิตคนหนึ่งคน เราเลี้ยงดูมาเยอะ ลูกเป็นเด็กกตัญญูมาก ทั้งนี้ อยากให้ประเทศกลับมาสงบสุข ไม่มีเหตุการณ์รุนแรง ไม่อยากให้มีใครต้องมาตาย และก็ต้องมาเสียใจกันทุกคนแบบนี้
ด้านนางหนูชิต คำกอง ภรรยานายพัน คำกอง อายุ 44 ปี ที่เสียชีวิตย่านราชปรารภ กล่าวว่า สามีมีอาชีพขับแท็กซี่ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 พ.ค. โดยวันนั้นสามีจะไปขับแท็กซี่ ได้เอารถไปเช็กที่อู่ข้างวัดสระเกศ พบว่ารถแอร์ไม่เย็น จึงจะกลับมาหาลูกๆ ที่พักย่านพัฒนาการ 43 แต่ไม่มีรถเมล์ จึงได้เดินไปถึงบริเวณย่านราชปรารภ ก็ถูกทหารกั้นไม่ให้เข้าออกย่านนั้น สามีจึงไปอยู่กับรปภ.ที่ไซต์ก่อสร้างคอนโดฯ ไอดีโอ ก็นั่งคุยกับคนงานก่อสร้าง จนถึง 20.00 น. ก็ยังไปไหนไม่ได้ สามียังบ่นกับคนงานว่าอยากกลับไปหาลูกๆ ลูกรอกินข้าวกันอยู่ จนกระทั่งเวลา 24.00 น. ได้มีรถตู้วิ่งเข้ามาทั้งที่ทหารห้ามไม่ให้เข้า ทหารที่อยู่สองฝั่งถนนได้ยิงใส่รถตู้ รถตู้วิ่งฝ่ากระสุนไปได้ แต่สามีของตนถูกยิงที่ราวนมซ้ายและเสียชีวิต
"ปกติสามีไม่เคยไปร่วมชุมนุมอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เงินเยียวยาที่ได้ไม่คุ้มค่าชีวิตสามีเลย ถึงเราหาเช้ากินค่ำ ฉันเป็นแม่บ้านโรงแรม สามีขับแท็กซี่แต่เราก็ภูมิใจที่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา วันนี้เสียเสาหลักไปก็รู้สึกเสียใจ ชีวิตวันนี้เปลี่ยนไปหมดแล้ว สามีต้องมาตายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราคนเดียวต้องดูแลลูกอีก 4 คน เราไม่ได้อยู่สีไหนฝ่ายไหน แต่มองว่าเสื้อแดงถอยแล้ว จะปรองดองกันได้ไหม อยากวอนรัฐบาลว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยไม่ได้ผิด แต่มาทำแบบนี้ต้องสูญเสียชีวิต ซึ่งได้พูดคุยกับหลายคนพบว่ายังมีญาติพี่น้องหายไปไม่กลับบ้าน และไม่รู้ไปไหน ไม่รู้อีกกี่ครอบครัวต้องลำบากสาหัส ไม่อยากให้มีการทำลายชีวิตคนบริสุทธิ์อีกต่อไป ทุกวันนี้ยังทำใจไม่ได้ที่สามีเสียชีวิต เห็นหน้าลูกก็เห็นหน้าสามีตลอด" นางหนูชิตกล่าว
นางรงค์ ประจวบสุข อายุ 45 ปี ชาวสุรินทร์ ภรรยานายประจวบ ประจวบสุข อายุ 42 ปี อาชีพรับจ้าง ที่เสียชีวิตเช่นกัน กล่าวว่า สามีเพิ่งมาทำงานรับจ้างย่านสำโรงได้ 10 วัน โดยเมื่อวันที่ 16 พ.ค. มีคนโทร.มาแจ้งตนว่าสามีถูกยิงที่หน้าอกแถวย่านบ่อนไก่ พระราม 4 ที่มีการชุมนุมกัน ตนตกใจมาก เพราะให้สามีไปทำงานแล้วไปโดนยิงได้อย่างไร จากนั้นวันที่ 17 พ.ค. ตนกำลังจะเดินทางไปกรุงเทพฯ ก็ได้รับโทร ศัพท์แจ้งว่าสามีเสียชีวิตแล้ว ตนได้สอบถามเพื่อนที่ทำงานของสามีเล่าว่าสามีขอตามเพื่อนมาดูเหตุการณ์ เพราะได้ข่าวว่ามีการยิงกัน อยากทราบว่ายิงกันจริงหรือไม่ โดยสามีบอกว่าเป็นคนรักประชาธิปไตยต้องไปดู ที่ผ่านมาสามีก็เป็นคนที่สนใจข่าวสารบ้านเมืองชอบดูข่าวการเมือง กีฬา แต่ไม่ได้ไปร่วมชุมนุมการเมืองอะไร
นางรงค์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้สามีตกงานมาหลายเดือน กลับมาอยู่บ้านก็ถูกคนตีหัว จนทำงานไม่ได้อยู่นาน และเคยผ่าตัดไส้เลื่อน พอได้งานรับจ้างก็รีบไปทำที่สำโรง ได้ค่าจ้างวันละ 170-200 บาท แต่ก็เหลือไม่ถึงที่บ้าน เพราะต้องซื้อหาอาหารกินเอง เมื่อสามีมาเสียชีวิตแบบนี้ ครอบครัวมีลูก 3 คน ยังเล็กและยังเรียนหนังสือก็ยิ่งลำบากมาก เพราะตนเองก็แขนขวาพิการพับไม่ได้ ทุกวันนี้รู้สึกหดหู่ในชีวิต จากที่เคยพึ่งพาสามีได้ก็ไม่มีแล้ว คิดว่าสามีไม่น่ามาตายแบบนี้ อยากวอนรัฐบาลให้ดูแลคนที่ทุกข์ยาก ให้มีงานทำ มีอาชีพ ตนเป็นแค่คนยากจนออกความเห็นไปรัฐบาลก็คงไม่สนใจ ทุกวันนี้ได้แต่สอนลูกหลานให้รักกัน อย่าทะเลาะอย่าฆ่ากันแบบนี้

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พคท.ยุคใหม่ วิพากษ์ การชิงอำนาจของ"ทุนผูกขาดสามานย์"กับ "ทุนผูกขาดศักดินา"ประชาชนเป็นเบี้ยล่าง

วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เวลา 21:40:38 น.  มติชนออนไลน์

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1275998083&grpid=&catid=02

หมายเหตุ"มติชนออนไลน์"- ภายหลังนโยบาย 66/23  แม้ว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)ได้ยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธและออกจากป่าหมดแล้วก็ตาม  แต่บรรดาอดีตกรรมการกลางพรรคและสมาชิกพรรคบางส่วนยังคงติดต่อพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์ทางการเมืองกันอยู่เสมอ  เพียงแต่ไม่มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาอย่างเป็นระบบเหมือนในอดีต

อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสมาชิกพรรคเหล่านั้น มีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แบ่งออกเป็น 2 ขั้ว 2 ฝ่ายเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน

ต่อไปนี้เป็นแถลงการณ์ที่อ้างว่า เป็นของโฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยและบทวิพากษ์ของ"ธงไทย เทอดอิศรา"เกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่ความรุนแรงซึ่งอดีตสมาชิก พคท.มองว่า เป็นการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจระหว่าง"ทุนผูกขาดสามานย์"กับ"ทุนผูกขาดศักดินา"

----------------------

ธง แจ่มศรี

---------------------

สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันตรายและหนทางในการแก้ปัญหา

สถานการณ์ในระยะ 2 เดือนผ่านมานี้  ถ้ามองเพียงปรากฏการณ์ จะเห็นว่าเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ของนายทุนใหญ่ผูกขาดกลุ่มหนึ่งที่เสียอำนาจรัฐโดยมีพรรคเพื่อไทย ม็อบเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธสงครามที่เรียกกันว่า “นักรบไร้สังกัด” เป็นตัวแทน กับกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดหลายกลุ่มที่เป็นพันธมิตรกันซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ในขณะนี้  โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นตัวแทน

ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งต่อสู้กัน ฝ่ายหนึ่งเพื่อชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์ของตนที่เสียไปกลับคืน   อีกฝ่ายหนึ่งก็เพื่อรักษาอำนาจรัฐรักษาผลประโยชน์ของกลุ่มพวกตน 

อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มล้วนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่กดขี่ขูดรีดประชาชน  เป็นต้นตอความทุกข์ยากของประชาชน

มองดูเผินๆแล้วคล้ายกับว่า ความขัดแย้งและการต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน  แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เช่นนั้น  การต่อสู้แย่งชิงอำนาจของพวกเขาเป็นการซ้ำเติมความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชนให้มากยิ่งขึ้นทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง  และส่งผลกระทบถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง.

หลังจากที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  ได้เสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ  เมื่อวันที่ 3 พค. 2553  สถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดได้ผ่อนคลายลงระดับหนึ่ง  การนองเลือดหรือสงครามกลางเมืองที่หวาดวิตกกันตลอดการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงดูคล้ายจะผ่านพ้นไป 

แต่ความเป็นจริงแล้วยังมีปัญหาสำคัญอีกหลายปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข  ซึ่งอาจจะระเบิดขึ้นได้ทุกขณะ  เช่นแกนนำม็อบเสื้อแดงยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายสำคัญของการชุมนุมครั้งนี้ที่จะให้ “นายใหญ่”  ที่พวกเขารับใช้กลับมามีอำนาจในเร็ววัน ; แกนนำสำคัญเกือบทั้งหมดถูกข้อหาคดีอาญาร้ายแรงและอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง;   

ภายในแกนนำนปช.ยังมีความขัดแย้ง, ระหว่างแกนนำม็อบเสื้อแดงกับแกนนำกองกำลังอาวุธ “นักรบไร้สังกัด” และแกนนำพรรคเพื่อไทย ยังมีความขัดแย้ง  ซึ่งแต่ละส่วนก็ขึ้นตรงต่อนายใหญ่ที่อยู่ต่างประเทศ  

อีกด้านหนึ่ง  นักการเมือง นักวิชาการ นิสิตนักศึกษาและมวลชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ ของนายอภิสิทธิ์  นายกรัฐมนตรี  โดยเฉพาะเรื่องระยะเวลาในการประชุมสภาและกำหนดเวลาในการเลือกตั้งซึ่งเร็วเกินไป  และที่สำคัญก็คือมวลชนที่เข้าร่วมในม็อบเสื้อแดงครั้งนี้มีไม่น้อยเข้าร่วมด้วยความบริสุทธิ์ใจ 

มวลชนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวนาชาวไร่จากชนบทโดยเฉพาะจังหวัดทางภาคอิสานและภาคเหนือ  พวกเขามีความทุกข์ยากเดือดร้อนทางเศรษฐกิจอย่างสาหัส  ไม่มีที่ดินทำกิน   ผู้ที่ทำงานรับจ้างก็ถูกกดค่าแรงและต้องเผชิญกับการว่างงาน  ที่พอมีที่ดินทำกินบ้างผลผลิตก็ถูกกดราคา หนี้สินเพิ่มทวีมากขึ้น ด้านการเมืองก็ไม่ได้รับความเสมอภาค   ไม่ได้รับความเป็นธรรมในด้านต่างๆ ถูกเอารัดเอาเปรียบตลอดเวลา  ซึ่งปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่เป็นปัญหาของประชาชนที่มาชุมนุมเท่านั้น 

แต่เป็นปัญหาของประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดทั่วประเทศและเป็นมายาวนานแล้วและยังไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขอย่างจริงจัง  แม้บนเวทีชุมนุมของม็อบเสื้อแดงปัญหาของพวกเขาก็ไม่ได้รับการกล่าวถึงมากนัก.

  ณ. สถานการณ์ที่ความขัดแย้งด้านต่างๆทวีความแหลมคมและสลับซับซ้อนมากขึ้น  อันอาจนำไปสู่ความรุนแรงได้ทุกขณะ    หรืออาจมีการประนีประนอมกันในระดับใดระดับหนึ่งก็เป็นไปได้   

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์   เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแผนปรองดอง 5 ข้อ  กำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 14  พ.ย. 2553  และระยะเวลายุบสภาระหว่างวันที่ 15-30 ก.ย. 2553 

ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงซึ่งอยู่ในภาวะที่เพลี่ยงพล้ำเพราะเสียงคัดค้านของสังคมที่ดังกระหึ่มมากขึ้นทุกวัน  สืบเนื่องจากการกระทำที่เหิมเกริมและไร้เหตุผลของแกนนำที่นำผู้ชุมนุมบางส่วนทำการคุกคามต่อชีวิตที่สงบสุขและความสะดวกปลอดภัยในการเดินทางไปมาของประชาชนผู้บริสุทธิ์หลายครั้งหลายหน

และที่เลวร้ายที่สุดคือการปิดล้อมและการบุกเข้าตรวจค้นในโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็มีท่าทีอ่อนลงและยอมรับกำหนดวันเวลาการเลือกตั้งและยุบสภาของรัฐบาลในที่สุด  แต่ก็ยังมีข้อต่อรองที่ทั้งสองฝ่ายต้องตกลงกันอีกต่อไป   

อย่างไรก็ตามไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร  เราเห็นด้วยกับผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจำนวนมากที่รวมพลังเรียกร้องให้ต้องนำความสงบสันติมาสู่ประเทศชาติอย่างมีหลักการโดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง 

ในขณะเดียวกันก็ขอประณามกลุ่มผู้ใช้ความรุนแรงข่มขู่คุกคามความสงบสุขของสังคม กระทั่งทำร้ายชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน  และสนับสนุนความเห็นของบุคคลและองค์กรภาคประชาชนต่างๆที่ว่ารากฐานของปัญหาคือความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม  ซึ่งดำรงอยู่มาเป็นเวลายาวนาน  และในเฉพาะหน้านี้ต้องเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ เร่งแก้ปัญหาที่สำคัญก็คือ ปัญหาที่ดินทำกิน การมีงานทำ   ราคาพืชผล ค่าจ้างแรงงาน ปัญหาหนี้สิน  ปัญหาระบบภาษี  และการที่ให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองอย่างแท้จริง  ไม่ถูกข่มเหงรังแกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจแสะการเมืองที่เหนือกว่า  ปัญหาต่างๆเหล่านี้จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมเป็นจริงและยั่งยืน

ต้นตอของความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ  การเมือง และสังคมที่ประชาชนไทยเราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ คือระบบการผูกขาดทางเศรษฐกิจและการผูกขาดทางการเมืองโดยกลุ่มนายทุนใหญ่ผูกขาดไม่กี่กลุ่ม รวมทั้งทุนผูกขาดต่างชาติ  ทำให้เกิดปัญหาการกระจายรายได้ไม่เป็นธรรม  ประชาชนถูกปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางการเมือง 

ปัจจุบัน สังคมไทยมีความแตกต่างประมาณ 15 เท่าของรายได้ระหว่างกลุ่มคนจนสุดกับกลุ่มคนรวยสุด  คือกลุ่มคนจนสุดประมาณ 20 %ของประชากร มีส่วนแบ่งปันรายได้เพียง 3.8 %   ขณะที่กลุ่มคนรวยสุดประมาณ 20 % ของประชากรมีส่วนแบ่งรายได้มากถึง 58.5 %  ( ข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)    สังคมมีความเหลื่อมล้ำกันอย่างมากเช่นนี้  ก็ดังคำกล่าวที่ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย”  

ด้วยเหตุนี้ การที่จะหวังให้รัฐบาลเป็นผู้ทำการปฏิรูปโครงสร้างของสังคมอย่างได้ผลเป็นเรื่องที่ยากจะเป็นไปได้  เพราะตราบใดที่ประชาชนยังไม่ได้มีพลังอำนาจที่เข้มแข็ง  ผู้ที่เข้ามากุมอำนาจรัฐก็ยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนอยู่กับกลุ่มทุนใหญ่ไม่กี่กลุ่ม 

ดังนั้น การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม  ที่สำคัญที่สุดคือต้องอาศัยพลังของประชาชนทุกวงการ  ทุกชนชั้นและชั้นชน  รวมทั้งนักการเมือง นักวิชาการที่รักชาติรักประชาธิปไตย จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมต่างๆอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  และจะต้องขจัดความคิดที่หวังพึ่งให้นายทุนใหญ่ผูกขาดคนใดคนหนึ่งมาประสิทธิ์ประสาทชีวิตที่ดีกว่าให้แก่เรา  มีแต่ต้องอาศัยสติปัญญาและพลังสามัคคีของประชาชนเราเท่านั้น ปัญหาต่างๆจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นจริง.

โฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

10 พฤษภาคม  2553

------------------------

ความคิดเห็นบางประการ ต่อเอกสาร คำแถลงโฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( 10 พฤษภาคม 2553 ) เรื่อง สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันตรายและหนทางในการแก้ปัญหา

การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจับตา

นับแต่มีข่าวคราวความเคลื่อนไหว การเปลี่ยนแปลงภายใน พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ในช่วงต้นปี 2553  ที่ผ่านมา อันมีเหตุขัดแย้งทางความคิดที่สะสมยาวนานในส่วนขององค์กรนำ และองคาพยพของพรรคที่แวดล้อมการนำ มาตั้งแต่ภายหลังการประชุม สมัชชา 4 ของพรรคเมื่อ กว่า 28 ปีที่ผ่านมา

จนกระทั่งอดีตเลขาธิการพรรค(ธง  แจ่มศรี)ได้เปิดผยตัวตน ความคิด จุดยืน ทัศนะทางการเมืองของพรรค ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ในวาระครบรอบ 66  ปีของพรรค ซึ่งสะท้อนความคิด จุดยืน ทัศนะในนามพรรค ไปสอดคล้อง สนับสนุน แนวทางการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ทุนผูกขาดสามานย์ ทักษิณ  ชินวัตร อย่างเปิดเผย ล่อนจ้อน ถึงขั้นเสนอแนวทางการเมืองในนามพรรค ให้สามัคคีทุนก้าวหน้า(หมายถึงกลุ่มผลประโยชน์ทุนผูกขาดสามานย์ ทักษิณ  ชินวัตร)  ต่อสู้กับทุนผูกขาดศักดินาอย่างตรงไปตรงมา

จากรอยปริแยกทางความคิดดังกล่าว อันเป็นผลมาจาก กรอบวิธีคิด การประยุกต์ใช้ทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ความคิดเหมา เจ๋อ ตง ในการวิเคราะห์สภาพสังคมไทย เพื่อกำหนดมิตรและศัตรู เป็นไปอย่างไม่สอดคล้องกับสภาพที่เป็นจริง ทั้งยังนำไปสู่ข้อเสนอแนวทางการเมืองของพรรคที่คลาดเคลื่อน นำไปสู่ความขัดแย้งอย่างหนักหน่วงในองค์กรนำและองคาพยพที่แวดล้อมการนำของพรรค

ด้วยปฏิบัติการที่เป็นจริงของทั้งสองฝ่ายที่มีความคิดเห็น และแนวทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและทั้งสองฝ่ายที่มีความคิดและแนวทางการเมืองที่ต่างกันก็ล้วนโจนเข้าสู่ห้วงเหวของความขัดแย้งและต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายของกลุ่มทุนผูกขาดทั้งสองฝ่าย

การเข้าร่วมส่วนในสงครามการเมืองของกลุ่มทุนผูกขาดสองกลุ่ม ในช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้บ่มความคิด และแนวทางการเมืองที่ต่างกัน ของแกนนำและผู้สนับสนุนทั้งสองฝ่ายภายในพรรค จนพัฒนาไปสู่สภาพความขัดแย้งที่แหลมคมยิ่งขึ้น จนยกระดับสู่สภาพความขัดแย้งทางการจัดตั้ง ซึ่งมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งในส่วนองค์กรนำของพรรค

อันมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลในองค์กรนำอย่างมีนัยสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงเลขาธิการพรรคจาก ธง  แจ่มศรี เป็น วิชัย  ชูธรรม ดังเป็นข่าวคราวที่ปรากฏ อันสะท้อนถึงความแตกแยกครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

เหล่านี้ ด้านหนึ่งให้บทเรียนในความผิดพลาด ล้มเหลวของขบวนการปฏิวัติในระยะที่ผ่านมา แต่ในอีกด้านหนึ่ง ให้ความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับ การนำใหม่ ของขบวนการปฏิวัติไทย ในความขัดแย้งตามหลักวิภาษวิธี ที่ต้องจ่ายต้นทุนการแตกแทงยอดใหม่ ในราคาที่ประเมินมิได้สำหรับความขัดแย้งทางความคิดจนถึงขึ้นแตกตัวอย่างถดถอยของขบวนการปฏิวัติไทย นับแต่การประชุมสมัชชา 4 เป็นต้นมา

ข้อสังเกตุจากปรากฏการณ์การเผยแพร่เอกสาร คำแถลงโฆษกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( 10 พฤษภาคม 2553 ) เรื่อง สถานการณ์ที่ซับซ้อนอันตรายและหนทางในการแก้ปัญหา กลุ่มอิสระไท มีข้อสังเกตุที่เป็นข้อคิดเห็น ดังนี้

1..สาระสำคัญที่สุดของคำแถลงดังกล่าว คือ การแสดงจุดยืน ท่าทีทางการเมือง ของ พคท.ต่อสถานการณ์ที่มีความสลับซับซ้อน  และ อันตรายยิ่ง นั้น มีความแม่นยำและสอดคล้องกับสภาพตามความเป็นจริงมากที่สุด คือ ข้อเสนอ

“...การแก้ปัญหาความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางสังคม  ที่สำคัญที่สุดคือต้องอาศัยพลังของประชาชนทุกวงการ  ทุกชนชั้นและชั้นชน  รวมทั้งนักการเมือง นักวิชาการที่รักชาติรักประชาธิปไตย จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่ไม่เป็นธรรมต่างๆอย่างจริงจังและต่อเนื่อง  และจะต้องขจัดความคิดที่หวังพึ่งให้นายทุนใหญ่ผูกขาดคนใดคนหนึ่งมาประสิทธิ์ประสาทชีวิตที่ดีกว่าให้แก่เรา  มีแต่ต้องอาศัยสติปัญญาและพลังสามัคคีของประชาชนเราเท่านั้น ปัญหาต่างๆจึงจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นจริง.”  โดยส่วนที่มีสาระสำคัญที่สุดนี้ สามารถวิเคราะห์แยกแยะเป็นประเด็นต่างๆ ได้ คือ ;                                         

ประการแรก การกำหนดประเด็นปัญหาหลัก ที่ระบุถึง คือ ปัญหาความยากจน และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ซึ่งมีข้อพิจารณา คือ การระบุปัญหาทั้งสองประการนี้ มีความเกี่ยวโยง สัมพันธ์ถึง เหตุ และ ปัจจัยที่มีนัยสำคัญ ที่ควรกล่าวถึงส่วนที่สำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้การสื่อสารเนื้อหาผิดเพี้ยนไปจากสาระสำคัญ เช่น ควรระบุลงไปว่า “ การแก้ปัญหาความยากจน ที่มีเหตุสำคัญจากการขูดรีดทางชนชั้น และ ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม อันเป็นผลมาจากโครงสร้างของรัฐที่ไม่เป็นธรรม...”  ซึ่งจะทำให้การนำเสนอสาระสำคัญนี้ ไม่ถูกตีความพลาดไปจากหลักการสำคัญที่ต้องการสื่อสาร

ประการที่สอง การกำหนดแนวทางการเมือง ที่ระบุว่า “....ต้องอาศัยพลังประชาชนทุกวงการ ทุกชนชั้นและชั้นชน...จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลง...” นั้น แม้ว่าเป็นแถลงการณ์ที่ดูมุ่งหวังสื่อสารถึงสังคมใหญ่ และต้องการความเห็นร่วมด้วยของคนส่วนใหญ่ ในลักษณะแนวร่วม ก็ตาม แต่ข้อพิจารณา คือ นี่เป็นแถลงการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ที่มีความชัดเจนในแนวทางการเมืองที่เป็นการจัดตั้งของชนชั้นกรรมาชีพ ที่พร้อมสามัคคีกับมวลชนส่วนอื่นๆ ที่เห็นปัญหาร่วมกัน ในกรณีนี้จึงควรระบุจำแนกสถานะของผู้เข้าร่วมจัดตั้งการต่อสู้นี้เพื่อบ่งชี้บทบาท ความสำคัญที่แตกต่างกัน เช่น “...ต้องอาศัยพลังของประชาชนทุกวงการ  ทุกชนชั้นและชั้นชน โดยเฉพาะพลังสำคัญที่นำการเปลี่ยนแปลง คือชนชั้นกรรมาชีพ กรรมกร-ขาวนา  รวมทั้งนักการเมือง นักวิชาการที่รักชาติรักประชาธิปไตย นักธุรกิจภาคเอกชน จัดตั้งกันขึ้นมา เข้าร่วมและผลักดันการเปลี่ยนแปลง...”  เพื่อแสดงตัวตนที่ชัดเจน ของ พคท.

ประการที่สาม การกำหนดจุดยืนและท่าทีทางการเมือง ที่กล่าวถึง ความคิด และท่าทีทางการเมืองของ พคท. ที่สะท้อนมุมอง ความคิดในการวิเคราะห์สถานการณ์เบื้องต้นว่าเป็นการต่อสู้ของกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดสองกลุ่มที่แย่งชิงอำนาจรัฐและผลประโยชน์เฉพาะเพื่อกลุ่มตน ที่ล้วนส่งผลต่อประชาชนโดยตรง และเอกสารของ พคท.ระบุว่า “......ทั้งสองกลุ่มล้วนเป็นกลุ่มทุนใหญ่ผูกขาดที่กดขี่ขูดรีดประชาชน  เป็นต้นตอความทุกข์ยากของประชาชน ..." ซึ่งเป็นจุดยืนที่ชัดเจนที่สุดของ พคท. ในรอบสี่ห้าปีที่ผ่านมา หลังจากผ่านช่วงระยะ วิวาทะ วาทกรรม รับใช้ทุนก้าวหน้า( แต่ สามานย์ ? ) เพื่อสู้กับศักดินาล้าหลัง...หรือ สามัคคีทุนชาติ ขจัด ทุนสามานย์โกงชาติ....มาสู่ข้อเสนอที่ตกตะกอนแล้ว คือ “....จะต้องขจัดความคิดที่หวังพึ่งให้นายทุนใหญ่ผูกขาดคนใดคนหนึ่งมาประสิทธิ์ประสาทชีวิตที่ดีกว่าให้แก่....." ซึ่งเป็นจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน ภายหลังผ่านยุควิวาทะ การโจมตี ให้ร้ายในทางการเมืองระหว่างกัน ทั้ง รับใช้อำมาตย์ หรือ ลูกหาบทุนสามานย์ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดความแยกแยกในขบวนฯ ในระยะถัดมา

2.นอกจากสาระสำคัญที่นำเสนอข้อพิจารณาข้างต้นแล้วนั้น ข้อคิดเห็นที่สำคัญต่อแถลงการณ์อีกประการหนึ่ง ก็คือการพิจารณา สถานะทางการเมือง ของ พคท.ที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ในความไว ในการตอบสนองต่อสถานการณ์ทางการเมืองที่ผันแปรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่เห็นได้ใน พคท. ในระยะที่ผ่านมาที่มักกบดาน ไม่แสดงท่าที ความคิด ทัศนะทางการเมืองต่อสาธารณะ แม้ในบางช่วงระยะที่ผ่านมา

ช่วงที่มีความสับสนทางการเมือง และแกนนำการเคลื่อนไหวภาคประชาชน รวมทั้งแนวร่วม ต่างๆล้วนสนใจใน ความคิด ทัศนะ ท่าทีทางการเมืองของ พคท. ในฐานะพรรคการเมืองที่มีความคิดการเมืองก้าวหน้าที่สุด แต่ พคท.ก็มักเน้นการสื่อสารภายในองค์กรตนเอง เท่านั้น

3.การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอีกประการหนึ่ง คือ ความพยายามในการสื่อสาร กับ สังคม สาธารณะ ซึ่งสะท้อนท่าทีทางการเมืองที่เปิดกว้างขึ้น ยืดหยุ่น และกระฉับกระเฉง ขึ้น และท่วงทำนองการนำเสนอก็ใช้ภาษาที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมายิ่งขึ้น  ไม่พพยายามกล่าวถึง หรืออ้างอิงตัวแบบทฤษฎี เหมือนช่วงที่ผ่านมา ไม่มีการกล่าวถึงลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ความคิดเหมา เจ๋อ ตง แม้แต่คำเดียว ซึ่งทำให้การสื่อสารยังกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางขึ้น

ปรากฏการณ์ที่สะท้อนผ่านแถลงการณ์ โฆษก พคท. ฉบับนี้ คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามอง อันเป็นผลมาจากข่าวคราวความเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งภายในพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยุคใหม่ ที่เป็นทั้งความหวังของผู้คนส่วนหนึ่งที่เคยร่วมต่อสู้กับ พคท. แล้วมีเหตุให้ต้องแยกตัวออกไป หรือ เป็นการส่งสัญญาณสื่อถึงความสิ้นหวังของคนที่มีความเห็นต่างในขบวนปฏิวัติไทย ครั้งล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น นิรันดร  กลุ่มอิสระไท จะทำหน้าที่เฝ้าระวังทางความคิด การเมือง และในทางการจัดตั้ง เพื่อเสริมสร้างคุณภาพใหม่ให้กับขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย อย่างเข้มแข็ง จริงจัง อย่างต่อเนื่อง ต่อไป.
ธงไท  เทอดอิศรา
กลุ่มอิสระไท
25 พฤษภาคม 2553