วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สงคราม - ความขัดแย้งและสาเหตุของสงคราม

ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่รวดเร็วได้ส่งผลกระทบต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ประกอบกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้สภาวะแวดล้อมในลักษณะสงครามเย็นยุติลง อีกทั้งกระแสโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลงในลักษณะเส้นตรงแต่มีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะทวีคูณ ทำให้กรอบแนวคิดในการปฏิบัติการทางทหารทั่วโลกที่ต่างปฏิบัติกันมาไม่สามารถที่จะตอบสนองการรักษาผลประโยชน์ของชาติได้อย่างครอบคลุม ครบทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปฏิบัติการทางทหารซึ่งเป็นกิจกรรมหลักของกองทัพไทย ที่กระทำเพื่อตอบสนองกับบทบาทและหน้าที่ที่ได้รับตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพจึงเป็นกิจกรรมหลักประการหนึ่งที่กองทัพในหลายประเทศทั่วโลกให้ความสนใจและรวมถึงการดำเนินการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งรีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่มีแนวทางในการปรับเปลี่ยนจากระดับนโยบายลงมาจนถึงระดับปฏิบัติ แต่อย่างไรก็ตามการปฏิรูปโครงสร้างกองทัพยังคงเป็นประเด็นที่มีความยากลำบากในการดำเนินการ เพราะมีอุปสรรคหลายประการ เช่น วัฒนธรรมองค์กร กระแสโลกาภิวัฒน์ พลวัตรของภัยคุกคาม เศรษฐกิจ ฯลฯ ที่ล้วนแต่ส่งผลกระทบให้การเปลี่ยนแปลงมีความล่าช้า ล่าช้ามาก และเลยไปถึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย ทำให้การจัดทำแนวทางในการการปฏิรูปกองทัพให้มีความสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์ในระดับชาติและความมั่นคงของชาติจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการปฏิบัติการทางทหารที่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมจึงเป็นการดำเนิน การที่สำคัญของกองทัพขึ้นชื่อว่าสงครามหลาย ๆ ท่านจะนึกไปถึงความรุนแรงที่มีบรรทัดฐานมาจากความขัดแย้ง โดยความขัดแย้งจะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลหรือกลุ่มคนมากกว่าหนึ่งกลุ่มขึ้นไป พยายามที่จะครอบครองสิ่งเดียวกัน หรือยึดพื้นที่บริเวณเดียวกัน หรือตำแหน่งสำคัญเดียวกัน หรือ การมีความเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกัน เป็นต้น
ในหนังสือ “ความขัดแย้งระหว่างประเทศ” (อภิญญา รัตนมงคลมาศ, 2538, หน้า 70) ได้กล่าวถึง ผลการวิจัยของ เอ็ดเวิด อี เอซาร์ (Edward E. Azar) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการศึกษาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ที่ทำการวิจัยเหตุการณ์ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การทหาร และวัฒนธรรม รวม 135 ประเทศ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2488 ถึง 31 ธันวาคม พ.ศ. 2521 ซึ่งสามารถแบ่งระดับความขัดแย้งออกเป็น 15 ระดับ โดยเรียงลำดังความขัดแย้งน้อยที่สุด (ความร่วมมือ) ไปถึงรุนแรงที่สุด ดังต่อไปนี้ ก) รวมตัวเป็นประเทศเดียวกันด้วยความสมัครใจ (Voluntary Unification into One Nation): เป็นระดับความร่วมมือสูงสุด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ของการสมัครใจรวมตัวกันเป็นรัฐชาติ หรือกล่าวได้ว่าเป็นการตั้งประเทศชาติขึ้นมาใหม่ ข) เป็นพันธมิตรสำคัญด้านยุทธศาสตร์ทั้งระดับภูมิภาคหรือระดับประเทศ (Major Strategic Alliance Region or International): เป็นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการรบร่วมกัน ทำการซ้อมรบร่วมกัน การจัดตั้งตลาดร่วมกัน ค)ให้ความสนับสนุนทางการทหาร เศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์ (Military Economic and Strategic Support) เป็นกี่ให้การช่วยเหลือทางทหารกันระหว่างรัฐ การให้พื้นที่ของประเทศตนเองเป็นที่ตั้งฐานทัพกับประเทศที่พันธมิตร การให้ความรู้ทางเทคนิคการทหาร ง)การทำความตกลงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องทางทหาร (Non-military, Economic, Technological and Industrial Agreement) เป็นการให้การกู้ยืมเงินหรือการช่วยเหลือทางการเงิน การร่วมมือทางเศรษฐกิจเช่น เขตการค้าเสรี (ในระดับ พหุภาคี และ ทวิภาคี) การขายสินค้าที่ไม่ใช่สินค้าทางทหาร จ) ทำความตกลงและให้การสนับสนุนทางวัฒนธรรมและวิทยาศาสตร์อันไม่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ (Cultural and Scientific Agreement and Support – Non Strategic) เป็นการเริ่มความสัมพันธ์ทางการทูต การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ และ วิชาการ ฉ) การใช้ถ้อยคำสนับสนุนเป้าหมาย ค่านิยมและรัฐบาลอย่างเป็นทางการ (Official Verbal Support of Goal, Values and Regime) เป็นการให้การสนับสนุนทางนโยบายอย่างเป็นทางการ การยกระดับทางการทูต การยืนยันมิตรภาพ การฟื้นฟูความสัมพันธภาพทางการทูตที่เคยยุติลง ช) การแลกเปลี่ยน การเจรจา และแสดงนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ไม่มีความสำคัญมาก (Minor Official Exchange, Talks, and Policy Expression: Mild Verbal Support) เป็นการพบปะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูง การออกแถลงการณ์ร่วมกัน การประกาศหยุดยิง การแลกเปลี่ยนเชลยศึก ซ) การกระทำที่เป็นกลางหรือกระทำการที่ไม่มีความสำคัญต่อสถานการณ์ระหว่างชาติ (Neutral or Non-significant Acts for the Inter-nations) เป็นการแถลงนโยบาย การเสนอข่าวต่าง ๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่อง/ต่อเนื่องกับเหตุการณ์ การเยือนประเทศอย่างไม่เป็นทางการ ฌ) การใช้ถ้อยคำรุนแรงแสดงความไม่พอใจในการปฏิสัมพันธ์ต่อกัน (Mild Verbal Expression Displaying Discord in the Interaction) เป็นการคัดค้านนโยบายหรือพฤติกรรมอย่างไม่รุนแรง ไม่ประสบความสำเร็จในการตกลงกัน การปฏิเสธการกล่าวหา การปฏิเสธไม่รับบันทึกประท้วง ญ) ใช้ถ้อยคำรุนแรงแสดงความก้าวร้าวในการสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อกัน (Strong Verbal Expression Displaying Hostility in Interaction) เป็นการเตือนประเทศเป้าหมายว่าจะกระทำการตอบโต้ การตำหนิเฉพาะเรื่อง การประณามผู้นำ ระบบการเมือง หรืออุดมการณ์ของประเทศเป้าหมาย ฎ) การกระทำการรุนแรงทางการทูตและเศรษฐกิจ (Diplomatic-economic Hostile Actions) เป็นการเพิ่มกำลังกองทัพ การไม่ขนถ่ายสินค้า การปิดกันการคมนาคม ทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ การควบคุมการค้า การเรียกทูตมาเจรจาเป็นการฉุกเฉิน การยุติข้อตกลงบางประเภท ฏ) การกระทำการรุนแรงทางการเมืองและการทหาร (Political-Military Hostile Actions) เป็นการสนับสนุนการจลาจลหรือกบฏในประเทศเป้าหมาย การสนับสนุนกองกองโจรในประเทศเป้าหมาย การตัดความสัมพันธ์ทางการทูต การลักพาตัว การขับที่ปรึกษาทางทหารออกนอกประเทศ ฐ) การปฏิบัติการขนาดย่อม (Small Scale Military Acts) เป็นการปะทะด้วยกำลังทางทหารทางบก ทางน้ำ ทางอากาศอย่างจำกัด การปิดล้อมประเทศเป้าหมาย การผนวกดินแดนที่ยึดครองไว้เป็นของตน ฑ) สงครามจำกัด (Limited War Acts) เป็นการปฏิบัติต่อเขตทหาร เขตอุตสาหกรรม เป็นจุด ๆ การยึดหรือทำลายกองเรือของประเทศเป้าหมาย การปิดล้อมน่านน้ำ ฒ) สงครามขนาดใหญ่ที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิต พลัดที่อยู่อาศัยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายทางยุทธศาสตร์สูง (Extensive War Acts Causing Death Dislocation and High Strategic Costs) เป็นการดำเนินสงครามที่มีการสู้รบขนาดใหญ่อย่างเต็มรูปแบบ การทิ้งระเบิดในดินแดนพลเรือน การใช้อาวุธทำลายล้างสูง (weapon of mass destructive: WMD) เช่น นิวเคลียร์ ชีวะ เคมี จากการวิจัยดังกล่าวนั้นจะพบว่าระดับ 1 ถึงระดับ 8 จะเป็นระดับของความร่วมมือ ส่วนในระดับ 9 ถึงระดับ 15 จะเป็นระดับของความขัดแย้งที่เรียงลำดับจากน้อยสุดไปยังรุนแรงสุด ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก สำหรับคำว่าสงครามปัจจุบันผู้ให้คำจำกัดความที่แตกต่างกันมากมาย เช่น ในหนังสือ The International Relationship Dictionary (Jack C. Plano and Roy Olton, 1969, p.77) ได้ให้ความหมายว่า “ความเป็นศัตรูระหว่างประเทศหรือภายในประเทศที่มีการใช้กำลังทหาร” ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวความคิดของ เลวิส โคเซอร์ (Lewis A. Coser) ที่กล่าวไว้ในหนังสือ The Functions of Social Conflict (Lewis A. Coser, 1969, p.3) “การสู้รบเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ ตำแหน่ง อำนาจ และทรัพยากร ต่าง ๆ โดยการทำให้ต้องวางตัวเป็นกลาง ได้รับบาดเจ็บหรือถูกกำจัดออกไป” (อ้างใน สุโขทัย, 2546 หน้า 643)
เมื่อมองลึกลงไปในเรื่องของสงครามนั้นจะพบว่าสงครามที่เกิดขึ้นจะมีพื้นฐานมาจากความขัดแย้ง โดยใน สุโขทัย (2546, p. 643) ได้กล่าวไว้ว่า “สงครามเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของความขัดแย้งทางสังคม” และในหนังสือ On War (1942, p.2) ของ คาร์ล วอน เคลาสวิตซ์ ยังได้กล่าวไว้ว่า “สงคราม คือการใช้ความรุนแรง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อที่จะขับไล่ศัตรูของชาติเพื่อให้บรรลุเจตจำนงของชาติ” นอกจากนี้แนวความคิดของ เคลาสวิตซ์ ยังมีความเชื่ออีกว่า เป้าหมายหลักของการทำสงครามคือ การทำลายเจตจำนงของฝ่ายตรงข้ามที่จะทำการต่อสู้กับฝ่ายเรา และ เคลาสวิตซ์ ยังเชื่ออีกว่า ไม่การปราบปรามหรือปลดอาวุธครั้งใดจะปราศจากการนองเลือด ดังนั้นการเตรียมพร้อมที่จะป้องกันสงครามไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าการที่ชาตินั้น ๆ เตรียมพร้อมการทางทหาร
ส่วน ไฮน์ริช วอน ทริสเก้ (Heinrich Von Treitschke) นายทหารปรัสเซีย ผู้ซึ่งได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก มาเคลเวลลี และ บิสมาร์ก ซึ่งมีความเชื่อว่าอำนาจอธิปไตยและอิสรภาพทางการเมืองของรัฐ เป็นความสำเร็จทางการเมืองสูงที่สุดที่มนุษย์จะสามารถบรรลุได้ นอกจากนี้ ทริสกี้ ยังมองอีกว่ารัฐควรจะเตรียมพร้อมอยู่เสมอในการทำสงครามเพื่อปกป้องเกียรติยศชื่อเสียง
ในบทความทางวิชาการ “Conceptualizing “War” Consequences for Theory and Research” ของ Benjamin A. Most และ Harvey Starr ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Conflict Resolution (Vol.27 No.1, 1983, p.140) ที่อ้างถึงใน อภิญญา รัตนมงคลมาศ, 2538, หน้า 79 ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของสงครามว่าจะต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบข้อใดอย่างน้อยข้อหนึ่งดังต่อไปนี้
- จะต้องมีสองฝ่ายประกอบเป็นคู่ปรปักษ์ โดยที่ฝ่ายหนึ่งที่มีสถานะเป็นรัฐชาติ ส่วนอีกฝ่ายอาจะไม่จำเป็นต้องมีสถานะเป็นรัฐชาติ ดังตัวอย่างของการก่อการร้าย
- คู่ปรปักษ์จะต้องมีเป้าหมายที่ขัดแข้งกัน
- คู่ปรปักษ์ต่างทราบดีว่าแต่ละฝ่ายมีเป้าหมายขัดแย้งกัน
- คู่ปรปักษ์ต่างพยายามหาทางบรรลุเป้าหมายของตนทั้ง ๆ ที่รู้ว่าการประทำนั้นจะขัดแย้งกับความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง
- มีสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยที่สุดอีกฝ่ายหนึ่งมีเจตนาที่จะใช้กำลังทหารเพื่อบรรลุเป้าหมายของตน
- มีสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะต่อต้านการใช้กำลังทหารอย่างเปิดเผยของอีกฝ่ายเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความพ่ายแพ้อย่างฉับพลัน
- มีสถานการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเต็มใจจะใช้กำลังทางทหารอย่างเปิดเผย เพื่อบรรลุเป้าหมายของตนแม้แต่เพียงครั้งเดียวหรือใช้กำลังอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดการไล่โจมตีกันตลอดเวลา
อย่างไรก็ดีการความขัดแย้งระหว่างประเทศไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะเป็นการนำไปสู่การเกิดขึ้นสงครามทุกครั้ง แต่สงครามใดก็ตามจะเกิดขึ้นได้จะต้องมีสาเหตุ ในหนังสือเอกสารการสอนชุดวิชา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเล่มที่ 2 ในบทที่ 12 ของมหาวิทยาลัยสุโขทัย (สุโขทัย, 2546) ได้กล่าวถึงมูลเหตุของสงคราม โดยมีสาเหตุของสงครามจากประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
ก) โครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ: ในแนวความคิดนี้มีความเชื่อว่าการเกิดขึ้นของสงครามมีมูลเหตุมาจากโครงสร้างของระบบรัฐที่เริ่มมาจากสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลีย เมื่อปี ค.ศ. 1648 (พ.ศ. 2191) ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเกิดของระบบรัฐ (System of States) ที่มีลักษณะเป็นอยู่อย่างในปัจจุบัน สนธิสัญญาเวสฟาเลียนั้นเกิดขึ้นในยุโรปหลังจากการล่มสลายของระบบศักดินา (feudal system) โดยสนธิสัญญาเวสต์ฟาเลียได้ยุติสงคราม 30 ปี (Thirty Years’ War) ในยุโรป และได้สถาปนาสังคมที่มีอธิปไตย (Sovereign Entities) ที่ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังต่ออำนาจของสันตะปาปาและศาสนจักรโรมันคาทอลิกระบบเก่าที่ยอมรับอำนาจของสันตะปาปาเหนืออาณาจักรที่ปกครองโดยกษัตริย์และขุนนาง
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดสงครามขึ้นเพราะว่าการเกิดขึ้นของอำนาจอธิปไตยนั้นทำให้รัฐแต่ละรัฐนั้นมุ่งแต่จะรักษาผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้รัฐแต่ละรัฐยังมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม ค่านิยม ระบอบการปกครอง ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ระบบเศรษฐกิจ ฯลฯ การให้ความสำคัญกับอำนาจอธิปไตยนี้ทำให้รัฐต่าง ๆ ต่างปกป้องผลประโยชน์ของตนเองและเกิดการแข่งขันแย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างประเทศ
ข) ความเชื่อของคนในชาติ: แนวความคิดนี้มีความเชื่อว่าความเชื่อของคนในชาติเป็นมูลฐานสำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของสงคราม โดยพื้นฐานของความเชื่อของคนในชาติชาติจะเกิดจากอิทธิพลของความเชื่อทางศาสนา แนวความคิดทางปรัชญาที่สนับสนุนการก่อให้เกิดสงคราม และอุดมการณ์ทางการเมือง โดยในศาสนาหลายศาสนาได้กล่าวว่า การทำสงครามเป็นการทำเพื่อรักษาความยุติธรรม และเพื่อเผยแพร่ความยุติธรรม ส่วนนักปรัชญาที่สนับสนุนการทำสงครามจะมีแนวความคิดว่าเป็นการกระทำเพื่อแสดงออกถึงความเข้มแข็งและความก้าวร้าวของมนุษย์ นอกจากนี้อุดมการณ์ทางการเมือง ยังมีผลต่อความทัศนคติและท่าทีของคนในชาติอีกด้วย เช่นแนวความคิดในการแบ่งแยกชนชั้นและส่งผลตามมาทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ค) ความเป็นมนุษย์: ในแนวความคิดนี้มีความเชื่อว่ามนุษย์เป็นสาเหตุของการเกิดขึ้นของสงครามไม่ใช่รัฐระบบโครงสร้างของรัฐ หรืออุดมการณ์ทางการเมือง โดยที่นักจิตวิทยาหลายคนได้ให้ความเห็นว่าการเกิดขึ้นของสงครามว่าสงครามเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์และประกอบกับเมื่อมนุษย์ตกอยู่ภายใต้ภาวการณ์บังคับของสภาพแวดล้อมทางสังคม ดังเช่นแนวความคิดของ อีริค ฟรอมม์ (Erich Froum) ที่กล่าวถึงใน หนังสือ Escape from Freedom ตีพิมพ์ใน พ.ศ.2484 (อ้างใน สุโขทัย, 2546 หน้า 655) ได้กล่าวว่า “ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการความมั่นคง ความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และการมีความหวังในอนาคต แต่สภาพแวดล้อมของสังคมได้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์ไม่ต้องการและพยายามหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมสมัยใหม่ ตามเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ที่มีคนอาศัยอยู่อย่างแออัด และประชาชนต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อตนเอง ประชาชนจะมีความรู้สึกว่าตนเองถูกตัดขาดออกจากสังคม ไม่มีความอบอุ่น ไม่มีความมั่นคง แม้ว่าจะมีอิสภาพแต่ก็รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีความสำคัญและไม่มีอำนาจใด ๆ ในที่สุด มนุษย์จะหลีกเลี่ยงจากสภาพที่ไม่ต้องการนี้ โดยเข้ารวมกลุ่มเป็นสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ เพื่อให้มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือองค์กรและมีความสำคัญ อันเป็นความต้องการตามธรรมชาติของมนุษย์ และในบางครั้งการรวมกลุ่มเพื่อแสวงหาสิ่งที่ต้องการมาทดแทนอาจจะมีมากเกินไป ทำให้มนุษย์เข้ารวมกับกลุ่มที่มีพฤติกรรมอำนาจนิยม” หรืออาจจะสรุปได้ว่า ความขัดแย้งมักจะเกิดขึ้นตามเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ที่ขาดความอบอุ่น ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการส่วนตัวของมนุษย์ ดังนั้นความก้าวร้าวไม่ได้มีอยู่ในตัวมนุษย์แต่จะเกิดขึ้นเมื่อมีตัวกระตุ้น เช่น ความไม่พอใจ หรือการได้รับชัยชนะบ่อย ๆ
ง) การแข่งขันทางเศรษฐกิจ: แนวความคิดนี้จะให้ความสนใจกับระดับความสามารถทางเศรษฐกิจของรัฐต่าง ๆ เพราะระดับความสามารถของระบบเศรษฐกิจของรัฐแต่ละรัฐไม่เท่าเทียมกัน เช่น ขนาดพื้นที่ของประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิอากาศ ฯลฯ ด้วยความไม่เท่าเทียมกันนี้ทำให้รัฐแต่ละรัฐพยายามที่สะสมความมั่งคั่ง อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดสงครามปล้นสะดมเพื่อแย่งชิงทรัพย์สินในโบราณ ในยุคใหม่ การแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ พลังงาน ตลาดและแรงงานราคาถูก เป็นสาเหตุของจักรวรรดินิยม และสาเหตุที่ขัดแย้งที่นำไปสู่การเกิดสงครามในที่สุด
จ) การสะสมอาวุธและกำลังทหาร: แนวความคิดนี้มีความเชื่อว่าการสะสมอาวุธจะเป็นสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของความขัดแย้งและพัฒนาไปสู่สงคราม ความไม่ไว้วางใจกันระหว่างประเทศเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องเสริมสร้างกองทัพและสะสมอาวุธให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลาเพื่อความมั่นคงปลอดภัยของตนเอง อย่างไรก็ตามการสะสมอาวุธเปรียบสะเหมือนน้ำที่ขังอยู่ในเขื่อน ถ้าระดับน้ำสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกินระดับที่เขื่อนจะรองรับได้ ผู้ควบคุมเขื่อนจำเป็นต้องปล่อยน้ำมากขึ้นและถ้าปล่อยน้ำมากจนเกินไปผลที่ตามมาก็คือน้ำก็จะสร้างความเสียหายได้
ฉ) ความเข้าใจผิดระหว่างรัฐ: แนวความคิดนี้ให้ความสำคัญกับความหวาดระแวงในสิ่งที่ตนเองไม่เข้าใจหรือมีข้อมูลไม่ครบ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการไม่ไว้วางใจและอาจนำไปสู่การเกิดสงครามได้โดยง่าย โดยทั่วไปมนุษย์จะไม่ไว้วางใจชาวต่างชาติที่พูดภาษาต่างกัน และยิ่งถ้าบุคคลนั้นมีความเป็นชาตินิยมสูงหรือมีความจงรักภักดีในความเป็นชาติสูงอาจะทำให้คิดว่าเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์สูง ซึ่งจะส่งผลออกมาในรูปของการสร้างตำราเรียนประวัติศาสตร์ หรือการออกข่าวสารที่ไม่เที่ยงตรง เบี่ยงเบน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่ก่อให้เกิดความคลางแคลงใจระหว่างประเทศและอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและเป็นสงครามได้ในที่สุด
ช) การต่อสู้เพื่ออำนาจ: แนวความคิดนี้เป็นแนวความคิดที่ขยายมาจากแนวความคิดที่กล่าวมาในข้างต้นผสมผสานกันทั้งหมด โดยเพิ่มเติมแนวความคิดในเรื่องของการต่อสู้เพื่ออำนาจระหว่างประเทศต่าง ๆ เพราะในสภาพเวทีระหว่างประเทศในปัจจุบัน ประเทศต่าง ๆ จะต่อสู้ดิ้นรนให้ได้มาในสิ่งที่ตนเห็นว่าเป็นผลประโยชน์ของชาติ โดยอำนาจจะเป็นทั้งเครื่องมือที่ใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ของประเทศ หรือเครื่องมือสำหรับปฏิบัตินโยบายต่างประเทศให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ต้องการ หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็นการแสวงหาอำนาจให้มีมากที่สุดเพื่อที่จะมีอิสระ เสรีภาพ อย่างไม่จำกัดโดยปราศจากอำนาจยับยั้งของประเทศอื่น ซึ่งประเทศทุกประเทศต่างพยายามรักษาและขยายผลประโยชน์ของชาติตน ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งและสงครามอย่างไม่สิ้นสุด
สงครามเป็นสิ่งที่มีพื้นฐานมาจากความขัดแย้งตามที่ผมได้กล่าวมาในข้างต้น สิ่งที่น่าสนใจของการดำเนินสงครามได้แก่ ประโยชน์และผลเสีย ซึ่งหลาย ๆ ท่านอาจจะเคยนึกถึงแต่ผลเสียของสงคราม แต่ความจริงแล้วสงครามยังด้านมีด้านที่เป็นประโยชน์ ดังเช่น เป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ ในช่วงก่อนที่จะเกิดการรวมตัวกันสร้างรัฐหรือชาติขึ้นมาใหม่ การที่จะรวมกลุ่มคนเข้าเป็นชาติได้นั้นส่วนใหญ่แล้วจะต้องผ่านการต่อสู้หรือที่เรียกว่าสงคราม (อย่างไรก็ตามการสร้างชาติขึ้นมาใหม่ไม่จำเป็นเสมอไปว่าจะต้องผ่านการดำเนินสงคราม) การส่งเสริมการค้นคว้า/คิดค้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะเทคโนโลยีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน การปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่อีกด้วย สงครามยังมีประโยชน์อีกคือ ในภาวะสงครามจะเป็นช่วงที่มีการผนึกกำลังทุกฝ่าย/ส่วน ของคนในชาติ เพราะต้องรวมตัวกันต่อสู้กับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น และประโยชน์อีกประการคือการก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศ เพราะประเทศที่เป็นพันธมิตรกันจะมีการร่วมมือกันมาขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าระดับความสัมพันธ์ของประเทศที่จับกลุ่มร่วมกันเป็นอย่างไร
สำหรับผลเสียที่เกิดขึ้นนั้นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอย่างแรกคือการสูญเสียชีวิต เช่นในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีทหารเสียชีวิต 8 ล้านนายและพลเรือนเสียชีวิต 7 ล้านคน และในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีทหารเสียชีวิต 19 ล้านนายและพลเรือน 35 ล้านคน นอกเหนือจากการสูญเสียชีวิตแล้ว สงครามยังก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย เพราะค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปกับการดำเนินสงครามซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่มีมูลค่ามหาศาล การทำลายวัฒนธรรม/อารยะธรรม เพราะฝ่ายที่แพ้สงครามอาจะถูกครอบงำทางวัฒนธรรม หรือกลืนชาติ โดยที่ร้ายแรงที่สุดคือการสิ้นชาติ หรือสิ้นเผ่าพันธุ์ นอกจากนี้สงครามยังก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา ซึ่งเป็นทั้งผู้ที่เข้าร่วมสงครามโดยตรง และครอบครัวของทหารที่เข้าร่วมในการรบ เพราะสงครามเป็นเรื่องที่มีแต่ความโหดร้าย ทำลายล้าง ผู้ที่เข้าร่วมอาจจะมีปัญหาความเครียดและกดดัน และรวมไปถึงภรรยาที่อยู่ในแนวหลังที่อยู่ในสภาพที่เป็นห่วงจนเกิดความเครียด โดยผลดีและผลเสียของสงครามสามารถนำเสนอได้ตามตารางที่ 1
ตารางที่ 1 แสดงถึงการเปรียบเทียบผลดีและผลเสียของสงคราม
ประโยชน์ของสงคราม
ผลเสียของสงคราม
· เป็นเครื่องมือในการสร้างชาติ
· สูญเสียชีวิต
· ส่งเสริมการค้นคว้า/คิดค้น เทคโนโลยีใหม่ ๆ
· สิ้นเปลืองค่าใช่จ่าย
· ส่งเสริมความเชื่อมั่นภายในรัฐ
· ทำลายวัฒนธรรม/อารยะธรรม
· ก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศ
· ก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา
จากเรื่องของความขัดแย้งและสาเหตุของสงครามที่ผมได้กล่าวมาข้างต้นนั้นจะเห็นว่าสงครามเป็นเรื่องที่มีรากฐานมาจากความขัดแย้ง การเกิดขึ้นของสงครามนั้นมีทั้งข้อดีและข้องเสีย การเกิดขึ้นของสงครามจึงเป็นสิ่งที่จะต้องคิด และคิดให้หนัก เพราะการนำรัฐเข้าสู่สงครามเป็นเรื่องที่อาจจะนำพาประเทศชาติไปสู่การล้มละลายหรือสิ้นชาติได้ สงครามจึงเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยงแต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องรบให้ชนะ........................
อ้างอิง : http://www.tortaharn.net