วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำนานรักสี่เศร้า น้องน้ำ - พี่กรุง - น้องทราย - พี่ทะเล

จดหมายจากน้ำ...ถึง พี่กรุง

ถึง พี่กรุง

น้ำรุ้ว่าพี่กรุงไม่ต้องการน้ำแล้ว รุ้แล้วว่าพี่มีความสุขดีโดยที่ไม่มีน้ำ แต่พี่กรุงจำได้หรือป่าวว่าเราเคยมีความสุขกันมากขนาดไหน และน้ำรุ้ว่าพี่ไม่พอไจที่น้ำกลับมาหาพี่ ถึงแม้ที่ผ่านๆมาน้ำทำไม่ดีกะคนอื่นมา แต่น้ำอยากไห้รุ้ว่าน้ำใช้เป็นทางผ่านเพื่อมาหาพี่กรุง ตอนนี้น้ำทำได้ดีที่สุดก็แค่อยู่ รอบๆตัวพี่กรุง แต่ไห้พี่รุ้เอาไว้ว่าสักวันน้ำจะเข้าไปหาพี่กรุงไห้ได้ เราจะมีเวลายุ่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน น้ำอยากไห้พี่กรุงรุ้เอาไว้ว่าน้ำจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจและตัดใจจากพี่กรุง ถึงแม้ผุ้ใหญ่ของพี่จะผลักดันน้ำไห้ออกห่างจากพี่กรุงก็ตาม แต่น้ำไม่แคร์!!! ถึงแม้ใครจะด่าน้ำน่าด้าน เบื่อน้ำเกลียดน้ำ น้ำก็จะไปอยู่กะพี่กรุงไห้ได้พี่กรุงคอยดูและกัน

ปล. ฝากบอกอินังทรายด้วยว่าน้ำไม่ยอมแพ้มันง่ายๆ หรอก ชิส์

จาก น้ำ

***************************

298110_309847735697062_100000155148560_1497049_1943107236_n

จากพี่กรุง...ถึง...น้ำ

น้ำ...พี่อยากให้น้ำรู้ ทุกวันนี้พี่อยู่โดยไม่มีน้ำ

พี่มีความสุขดีอยู่แล้ว น้ำจะมาอะไรตอนนี้ เชื่อเถอะ

ยังไงพี่ก็ไม่มีความสุขหรอก น้ำไปตามทางของน้ำเถอะ

พี่รู้ดีน้ำเป็นยังไง แต่เอาเถอะ ถ้าน้ำดึงดันจะมา พี่เข้าใจ

จะมาก็มาเลย พี่รับได้...ฝันของพี่จะได้เป็นจริงสักที

พี่จะได้ไม่ไปอยู่ไหนอยู่แต่กับน้ำ แต่ขอร้อง

น้ำอย่าให้ความหวังพี่ว่าน้ำจะมา แล้วมัวแต่ไปอยู่กับคนอื่น

ถ้าน้ำจะมา ขอให้มาเต็ม มาเคลียร์ให้มันจบๆ

ไม่ใช่ให้พี่คอยลุ้นว่าจะมาไม่มา มันทรมานนะ

อย่าทำกับพี่เหมือนที่น้ำทำกับคนอื่นเลย เข้าใจพี่นะ

แต่ยังไงก็ตามถึงแม้ชีวิตพี่จะขาดน้ำไม่ได้

แต่เราต่างคนต่างอยู่เถอะ ถ้าพี่ต้องการน้ำเมื่อไหร่พี่จะเปิดก๊อกเอง...

ปล.ตอนนี้ทรายเขาดูแลพี่ดีอยู่แล้ว

*****************************************

จาก ทราย..ถึง...น้ำ 

ถึง: นังน้ำ!...

ทรายอยากให้น้ำรู้ไว้นะ ว่าน้ำเป็นเพียงอดีต ของพี่กรุง!

ทรายจะทำทุกวิถีทาง เพื่อกีดกันน้ำ..ไม่ให้พบกับพี่กรุง

ผู้ใหญ่เค้าก็ เห็นดีเห็นชอบกับทราย

..ให้ทรายคอยกันน้ำไปทางอื่น และถึงแม้ว่า ผู้ใหญ่เค้าจะบอกว่า "เอาอยู่"

แต่น้ำก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะทำลายทรายและพี่กรุง

ขอร้องเถอะนะน้ำ อย่ามาทำให้ใครต่อใครต้องชอกช้ำ เพราะน้ำไปมากกว่านี้เลย T^T

"ทรายสัญญาจะดูแลพี่กรุงให้ดีที่สุด"

ทราย

****************************************

จาก พี่ทะเล ...ถึง...น้ำ

ถึง...น้องน้ำ

พี่อยากจะบอกน้องน้ำว่า พี่ยังรอน้องน้ำอยู่ทุกลมหายใจ เมื่อเขารังเกียจไม่มีใครต้องการแล้วเราจะอยู่ทำไมให้เขาขับไล่ไสส่ง

กลับมาอยู่ในที่ของเราเถอะ พี่กรุงเขากำลังหลงอยู่กับ แสง สี เสียง

ก็ปล่อยเขาอยู่กับนังทรายต่อไปก็แล้วกัน กลับมาไวๆนะ พี่ทะเลรออยู่และจะรอตลอดไป

รักน้องน้ำสุดหัวใจ

พี่ทะเล

*******************************************

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

คลิปหลุด “ปริศนานายกฯ ฮาก๊าก”(มีคลิป)

ทีมข่าวประชาชาติธุรกิจจะพาผู้อ่านไปพบกับสาเหตุ และ ที่มาของ "คลิปหลุด" ดังกล่าว

ว่าสุดท้ายแล้ว ทีมรปภ., กองทัพแฟนคลับผู้สนับสนุน, คุณป้าที่เอาทุเรียนทอดมามอบให้นายกฯ หรือ กองทัพสื่อมวลชน ที่จี้ถามตั้งแต่ปัญหาเรื่องน้ำท่วมยันประเด็นโยกย้ายข้าราชการ กันแน่?

ที่ทำให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึงกับต้องหลุดก๊ากออกมาดังปรากฏในคลิป

คลิปนายกรัฐมนตรีหลุดขำที่มีหลายคนได้ชม และพลอยจะหัวเราะตามนายกฯไปด้วย เป็นคลิปที่ใครหลายคนได้ดู เกิดความคิดผุดขึ้นมาทันทีว่า นายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หัวเราะอะไรขนาดนั้น เธอขำอะไร??

มันมี "คำถาม" อะไรจากสื่อมวลชนที่ทำให้นายกฯปู "หลุดหัวเราะ" ขณะอยู่ในลิฟท์ได้แบบนั้น?

เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขำในลิฟท์ดังกล่าววันนั้นมีประชาชนผู้สนับสนุนนายกฯปูเดินทางมาปักหลักรอให้กำลังใจคราคร่ำกว่า 100 คน รวมไปถึงกองทัพสื่อมวลชนที่ปักหลักรอสัมภาษณ์ประจำวันก็รอกันอยู่ปะปนบริเวณโถงทางเดินข้างล่างของที่ทำการพรรคด้วยเช่นกัน

พลันที่นายกฯปูก้าวเท้าลงจากรถเข้ามาในพรรค บรรดาผู้สนับสนุนแห่แหนกันเข้ารุมล้อมเพื่อจะได้ใกล้ชิดสัมผัสมือพูดคุย แสดงความเป็นห่วงเป็นใยกรี๊ดกร๊าดตามประสา

ส่วนกองทัพสื่อมวลชนก็ยืนออเบียดเสียดปะปนกันไปด้วย นายกฯยิ่งลักษณ์ที่ถูกรุมล้อมยังคงยิ้มแย้มไปตามแบบที่เป็นทุกวัน ค่ะๆคะๆไปตามเรื่อง

ขณะที่ทีมรปภ.นายกฯยังคงทำงานหนักทั้งกันคนให้อยู่ในสเปซที่เหมาะสม เพื่อให้นายกฯเดินไปได้แบบทีละ "ครึ่งก้าว" ผ่านฝูงแฟนคลับมาได้ โดยระหว่างนั้นสื่อมวลชนจำนวนมากก็ไม่คอยท่า เตรียมปฏิบัติหน้าที่รอเสียบไมโครโฟนสัมภาษณ์ด้วยเช่นกัน

กระนั้นนายกฯก็ยังต้องเจอคุณป้าที่เอาทุเรียนทอดมามอบให้นายกฯอีกด่านหนึ่ง !?!

หลังผ่านด่านทุเรียนทอดมาแล้ว สื่อก็พยายามที่จะเข้าไปรุมตามรูปแบบการทำงานที่จะสัมภาษณ์ทั่นผู้นำให้ได้ ซึ่งก็เป็นลักษณะถามไปตอบไป เดินกันไปทีละครึ่งก้าว (เช่นเคย)

จากถามเรื่องน้ำท่วมไล่เรียงมาจนถึงการแต่งตั้งโยกย้าย นายกฯหญิงก็เดิน (ครึ่งก้าว) มาจนถึงหน้าลิฟท์ตัวประจำที่เป็นปราการด่านสุดท้าย คั่นกลางระหว่างนายกฯกับสื่อ ก้าวเข้าลิฟท์เมื่อไหร่เป็นอันจบสิ้น!

ก็ให้เผอิญว่าหลังผ่านการ "ดัน" กันตั้งแต่ทางเดินเข้ามาพรรค เจอแฟนคลับ เจอป้าทุเรียนทอด จนมาเจอนักข่าวหลายสิบชีวิตเข้ามารุมกรูกัน ฝ่ายทีมรปภ. นายกฯก็ยังปฏิบัติหน้าที่ "กัน" คนเพื่อไม่ให้เข้ามาในสเปซเล็กๆประชิดตัวนายกฯจนเกินไป

ขณะกระจอกข่าวปฏิบัติหน้าที่ดันเพื่อถามให้ได้ เพราะนายกฯก็ตอบให้ทีละเล็กละน้อย

ผลคือรปภ.กันไปกันมา จนถึงหน้าลิฟท์เกิดความอลวลอลเวง จนมีกระจอกข่าวสาวนางหนึ่งหลุดรอดวงแขน ทีมรปภ. จนเข้าไปประชิดนายกฯแบบที่กระจอกข่าวก็ยังงงว่าหลุดเข้าไปอยู่ร่วมวงวี.ไอ.พี.ด้วยได้ยังไง เมื่อนายกฯเองเห็นเช่นนั้นจึงขำขึ้นมา

นั่นเป็นที่มาของอาการ "หลุดขำ" ของนายกฯยิ่งลักษณ์

เป็นการหลุดขำใส่สถานการณ์อลเวงหน้าลิฟท์--ลิฟท์ที่เป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ความเป็นส่วนตัวในพรรคเพื่อไทย

ที่มา/ปรับปรุงจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1316703866&grpid=01&catid&subcatid / http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1316682087&grpid=no&catid=04&subcatid=

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

Helle Thorning-Schmidt "นายกรัฐมนตรีหญิง" คนแรกของเดนมาร์ก(มีคลิป)

พรรคฝ่ายค้านเดนมาร์กฉลองชัยชนะ หลังจากชนะการเลือกตั้งทั่วไปได้อย่างหวุดหวิด ยุติบทบาทฝ่ายค้านที่ดำเนินมานานถึง 10 ปี

โดยหลังจากการนับคะแนนเสร็จสิ้น พรรคสังคมประชาธิปไตย(Denmark's Social Democrats)ซึ่งนำโดยนางเฮลเล ธอร์นนิ่ง-ชมิดท์(Helle Thorning-Schmidt)ได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภาได้อย่างเฉียดฉิว ซึ่งนั่นทำให้เธอจะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ ขณะที่นายกรัฐมนตรีลาร์ส ลอกเก รัสมุสเซน(Lars Løkke Rasmussen) ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้

File:Lars Loekke Rasmussen - 28 April 2010.jpg File:Helle-Thorning-Schmidt.jpg

ซ้าย : นาย Lars Løkke Rasmussen / ขวา : นาง Helle Thorning-Schmidt

นางเฮลเล ธอร์นนิ่ง-ชมิดท์ (Helle Thorning-Schmidt) วัย 44 ปี ประกาศชัยชนะต่อบรรดาผู้สนับสนุน และเตรียมเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ พรรคของนางธอร์นนิ่ง-ชมิดท์ คว้าที่นั่ง 89 ที่นั่งในรัฐสภาเดนมาร์กซึ่งมีทั้งหมด 179 ที่นั่ง ขณะที่พรรคของนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้เพียง 86 ที่นั่ง

บรรดาผู้สนับสนุนต่างร่วมยินดีและเฉลิมฉลองชัยชนะให้แก่ว่าที่ผู้นำหญิงคนแรก ซึ่งชูนโยบายเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ ขึ้นภาษีคนรวย และให้ทุกคนทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 12 นาที โดยระบุว่า ชั่วโมงการทำงานที่เพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนั้น เธอยังให้คำมั่นที่จะนำกฎหมายด้านการเดินทางเข้าเมืองที่เข้มงวดกลับมาบังคับใช้อีกครั้งหนึ่ง หลังการเข้มงวดกับกฎหมายคนเข้าเมืองนานกว่า 10 ปี ของรัฐบาลชุดก่อนที่นำโดยพรรคเสรีนิยม

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้มีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์สูงถึงร้อยละ 87.7 เพิ่มจากเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ที่มีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์ร้อยละ 86.5

นางธอร์นิง-ชมิดท์ วัย 44 ปี เป็นผู้นำพรรคสังคมประชาธิปไตย(Denmark's Social Democrats)มาตั้งแต่ปี 2005 จบปริญญาโทสาขายุโรปศึกษาจากมหาวิทยาลัย College of Europe นอกจากนั้น เธอยังพูดได้คล่องถึง 3 ภาษา คือ เดนมาร์ก อังกฤษ และ ฝรั่งเศส เธอสมรสแล้ว และมีบุตร 2 คน

ศึกษาประวัติของเฮลเล ธอร์นนิ่ง-ชมิดท์ต่อได้ที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Helle_Thorning-Schmidt

ศึกษาความเข้าใจระบบการเมืองการปกครองในเดนมาร์ก ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81

ปรับปรุงบทความมาจาก http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1316142446&grpid=&catid=06&subcatid=0600

 

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

มาชมความงามรัฐสภาไทยแห่งใหม่กัน(มีคลิป)

สัปปายะสภาสถาน รัฐสภาใหม่

ชื่อ "สัปปายะสภาสถาน" โดยคำว่า สัปปายะ แปลว่า สบาย ในทางธรรม หมายถึงสถานที่ประกอบกรรมดี  ซึ่งก่อนประเทศวิกฤต กษัตริย์จะสร้างสถานที่เพื่อปลุกขวัญกำลังใจ โดยการดำเนินชีวิตทางโลกียะ จะมีโลกุตระคือธรรมะกำกับ ซึ่งวันนี้บ้านเมืองเกิดวิกฤตความเสื่อมศีลธรรม จึงต้องฟื้นจิตใจของคนในชาติ จึงนำหลักการสถาปัตยกรรมไทยแบบแผนไตรภูมิตามพุทธคติมาเป็นแรงบันดาลใจออกแบบ โดยมีอาคารเครื่องยอดสถาปัตยกรรมไทย อยู่ตรงกลางอาคาร และเป็นโอกาสที่จะเป็นรัฐสภาระดับโลก ฟื้นสันติภาพ พลิกฟื้นจิตวิญญาณของมนุษย์โลก โดยการสถาปนาเขาพระสุเมรครั้งใหม่ในยุครัตนโกสินทร์

 

ความเป็นมาของรัฐสภาแห่งใหม่

อาคารรัฐสภาปัจจุบันตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคมในเขตพระราชวัดุสิต โดยได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา และสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗  และแม้ได้มีการขยายพื้นที่ใช้สอยโดยการก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้วก็ตามแต่เนื่องจากภารกิจของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่ขยายขอบเขตกว้างขวางขึ้น ประกอบกับการเพิ่มมากขึ้นของคณะกรรมาธิการ  ทำให้รัฐสภาขาดพื้นที่ใช้สอยในส่วนที่ทำการของสมาชิกรัฐสภาและห้องประชุมคณะกรรมาธิการคณะต่างๆ 

อีกทั้งการขยายขอบเขตของงานในส่วนราชการสังกัดรัฐสภา อันประกอบด้วยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา  ซึ่งมีการบริหารจัดการที่แยกส่วนกัน  รวมทั้งจำนวนข้าราชการที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับการปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา  ทำให้สถานที่ปฏิบัติงานของรัฐสภาในปัจจุบันอยู่ในสภาพแออัด มีปัญหาในเรื่องพื้นที่จอดรถ และการเข้าถึงพื้นที่มีความไม่สะดวก ส่งผลให้การปฏิบัติงานและดำเนินงานของรัฐสภาไม่คล่องตัวเท่าที่ควรโดยที่ผ่านมารัฐสภาได้แก้ไขปัญหาในบางส่วน ด้วยการจัดหาและเช่าสถานสำหรับเป็นสำนักงานในหลายพื้นที่ อาทิเช่น  อาคารกษาปณ์  อาคารทิปโก้ อาคารทหารไทย  อาคารดีพร้อม  และอาคารสุขประพฤติ  ซึ่งข้าราชการรัฐสภายังคงแยกส่วนกันอยู่  ทำให้เป็นอุปสรรรคในการบริหารจัดการและมีข้อจำกัดในการปฏิบัติภารกิจของสมาชิกรัฐสภาด้วยเหตุผลดังกล่าว  ในอดีตที่ผ่านมาจึงมีความพยายามที่จะก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ในสมัยนายมารุต  บุนนาค ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา    

จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ในสมัยนายชัย  ชิดชอบ  เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา  ได้มีการประชุมปรึกษาหารือเรื่องการหาพื้นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ระหว่าง นายสมัคร  สุนทรเวช  นายกรัฐมนตรี   นายชัย  ชิดชอบ ประธานรัฐสภา นายประสพสุข  บุญเดช ประธานวุฒิสภา 
พันเอก ดร.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง นายนิคมไวยวัชพานิช   รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง นางสาวทัศนา บุญทอง รองประธานวุฒิสภาคนที่สองนายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง   เพื่อพิจารณาหาพื้นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยมีการพิจารณาข้อดี-ข้อด้อยของพื้นที่ และพิจารณาผลการศึกษาวิจัยของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   สรุปได้ว่าพื้นที่ราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเป็นที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่  เนื่องจากเป็นแกนของเมืองที่มีความต่อเนื่องทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่รัตนโกสินทร์ พ.ศ. ๒๓๒๕   ในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้ขยายเมืองในรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยการก่อสร้างถนนราชดำเนินไปสิ้นสุดที่ลานพระบรมรูปทรงม้าต่อเนื่องถึงพระที่นั่งอนัตสมาคม ซึ่งใช้เป็นที่ประชุมรัฐสภาครั้งแรก
จึงมีข้อสรุปเป็นมติเห็นชอบร่วมกันเลือกพื้นที่ ราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมที่สุดในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่

O.B.L. หนังสารคดีเพื่อความเข้าใจที่ดีต่อมุสลิม

เนื่องในโอกาสรำลึกเหตุการณ์ 9/11 ครบรอบ 10 ปี หลายๆคนโดยเฉพาะชาวตะวันตกมักบอกว่า “The world never be the same.” สิ่งที่น่าสนใจก็คือเสียงจากชาวมุสลิมว่าหลังจากวันนั้นชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปในทางไหน?

O.B.L. โอซาม่า บิน ลาเดน

O.B.L. คือสารคดีความยาว 20 นาที กำกับโดย ภาณุ อารี, ก้อง ฤทธิ์ดี และ กวีนิพนธ์ เกตุประสิทธิ์ เป็นเสียงสะท้อนจากชาวมุสลิมในประเทศไทย ที่สังคมตัดสินเขาพวกเขาไปแล้วทั้งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และไม่ได้สนับสนุนการกระทำของ โอซามา บิน ลาเดน ภาพของมุสลิมในประเทศไทยกลายเป็นผู้ก่อการร้าย

ลองหันมาฟังเสียงที่พวกคุณไม่เคยรับฟัง และเปิดใจฟังในสิ่งที่คุณไม่ได้ยินว่า “อิสลาม” หมายถึง ความสันติ แล้วหันมาถามตัวเองว่าเรารู้จักกันจริงๆหรือไม่? เสียงที่สะท้อนผ่านสื่อมีอำนาจเหนือกว่าสิ่งที่พวกเขาบอกเล่าหรือไม่? แล้วเราจะทำสงครามเพื่อยุติสงครามได้จริงๆหรือ?

O.B.L. ( 2011) / 20 Mins
A Documentary by Panu Aree , Kong Rithdee , Kaweenipon Ketprasit

เรื่องย่อ

ครบรอบ 10 ปี แห่งหายนะ 11 กันยาที่นิวยอร์ค เหตุการณ์ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนทั้งทางการเมือง วัฒนธรรม ศาสนา และเปิดประเด็นความขัดแย้งอันยากจะเยียวยาระหว่างโลกอิสลามกับโลกตะวันตก (รวมทั้งโลกอื่นๆ) ต่อเนื่องมาถึงการสังหารโอซามา บิน ลาเดน นักรบ/ผู้ก่อการร้าย/ปราชญ์/โลโก้ทีเชิร์ต บุคคลผู้สร้างและเปลี่ยนแปลงภาพพจน์ของศาสนาอิสลามในแบบที่ไม่มีใครทำได้มาก่อน
สารคดีสั้นเรื่องนี้สำรวจความคิด ความเห็น และทัศนคติของชาวไทยมุสลิม สิ่งที่พวกเขาประสบและความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดหนึ่งทศวรรษแห่งความโกลาหล

This year marks the 10th anniversary of the September 11 attack in New York, the incident that has sent political, cultural and religious shockwaves and launched a bitter conflict between the Muslim world and the rest. This year also saw the death of Osama Bin Laden -- terrorist/warrior/philosopher/T-shirt logo, depending on who you ask -- the man who shaped the image of Islam the way nobody has done since Prophet Muhammad.
This short documentary listens to the opinion and attitude, the contentment and resentment, of Thai Muslims to investigate how their lives have been affected during the decade of confusion and chaos.

 

ที่มา http://www.siamintelligence.com/o-b-l-movie/

ตามละครรอยไหมไปดูกองกำลังว้า-เมืองลาลงนามสันติภาพกับรัฐบาลพม่ารอบใหม่

รอยไหมรอยไหม

รอยไหม

ละครรอยไหมที่ได้ออนแอร์ออกอากาศไปแล้วตอนสองตอนผมขออนุญาตพูดเรื่องเจ้านางน้อยของเจ้าศิริวัฒนาหน่อยว่าถิ่นกำเนิดของเธออยู่ตรงไหนของประเทศไทย เหตุการณ์การเมือง สังคม วัฒนธรรมที่นั่นเป็นอย่างไรแต่ความจริงบ้านเกิดเธออยู่เชียงตุงในพม่าครับ

พม่า ณ ตอนนี้มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกือบทุกภาคทุกรัฐยกเว้นย่างกุ้งจะไม่มีสงคราม ทั้งมีการละเมิดสิทธิมุษยชนไม่เว้นว่าง ดังจะเห็นผลกระทบที่ไทยเราต้องรับผู้หลบหนีจากภัยสงครามตามแนวชายแดนไทย-พม่าโดยตลอด การจะพูดเรื่องเจ้านั่นเจ้านี้ ถูกพม่ากวาดล้างเกือบหมดสิ้นที่ยังอยู่ก็ลี้ภัยทางการเมืองอยู่ประเทศที่สามหมดไม่มีใครอยู่ในพม่าเลยหรือคนที่อยู่ก็ยอมอยู่ในอานัติหรือถูกจับติดคุกหรือไม่ก็จะจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุดเพื่อเอกราชของประเทศหรือของชาติพันธุ์ของตนและมีการสู้รบกันเป็นเวลายาวนานมากโดยปัจจุบันมีทั้งกลุ่มที่ยังติดอาวุธเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลและวางอาวุธเพื่อเป็นแนวร่วมรัฐบาลมาปราบกลุ่มที่ติดอาวุธและดูแลแนวชายแดนให้กับรัฐบาลพม่าไปในตัว ดังนั้นที่ผมจะพูดถึงคือเรื่องสันติภาพในแนวชายแดนทางเหนือของพม่าครับ

โดยกองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA ได้ลงนามข้อสัญญาสันติภาพกับรัฐบาลทหารพม่ารอบใหม่หลังพบหารือกับคณะเจรจาของรัฐบาลตามคำเชิญเรื่องนี้ทำหลายฝ่ายสับสนงุนงงเพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศทั้งสองกลุ่มเป็นกลุ่มนอกกฎหมายชัดเจน หลังปฏิเสธตั้งหน่วยพิทักษ์ชายแดน

แหล่งข่าวชายแดนจีนซึ่งใกล้ชิดเจ้าหน้าที่กองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA เปิดเผยว่า กองทัพสหรัฐว้า UWSA “กองกำลังว้า”และกองกำลังสัมพันธมิตรชาติประชาธิปไตย NDAA “กองกำลังเมืองลา”ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพกับรัฐบาลทหารพม่าอีกครั้งหลังทั้งสองกลุ่มได้พบหารือกับคณะเจรจาเพื่อสันติภาพของรัฐบาลตามคำเชิญที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานภาคตะวันออก เมื่อวันที่ 6 - 7 ก.ย. ที่ผ่านมา

การลงนามสัญญาสันติภาพดังกล่าวมีขึ้นหลังคณะเจรจาของรัฐบาลทหารพม่าซึ่งมีนายอูอ่องตอง และ นายอูเต็งส่อ คณะกรรมการบริหารพรรคสหภาพเอกภาพและการพัฒนา (USDP)ในนามคณะกรรมการเจรจาสันติภาพอันมีประธานาธิบดีเต็งเส่ง เป็นประธานได้ยื่นข้อเสนอเพื่อสันติภาพ 4 ข้อคือ 1. ไม่ให้เกิดการสู้รบของทหารทั้งสองฝ่าย 2.ให้ทั้งสองฝ่ายเปิดสำนักงานประสานงานในพื้นที่ที่เคยเปิดตามเดิม 3.หากทหารฝ่ายใดติดอาวุธจะเดินทางเข้าเขตพื้นที่อีกฝ่ายให้แจ้งล่วงหน้า และ 4.แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานแต่ละฝ่ายเพื่อทำหน้าที่ประสานเจรจาเพื่อให้ความสัมพันธ์สองฝ่ายก้าวหน้า

โดยกองกำลังว้า UWSAและกองกำลังเมืองลา NDAA เห็นว่าข้อเสนอของรัฐบาลทหารพม่าเป็นประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายจึงได้ลงนามหลังการหารือกันแล้วเสร็จ โดยตัวแทนกองกำลังว้า UWSA ซึ่งมีนายเปาโหย่วเหลียง(น้องชายเปาโหย่วเฉียง ผู้นำสูงสุด UWSA) จ้าวก่ออางฝ่ายกิจการต่างประเทศ และ ลีจูเลี่ย โฆษกของ UWSA ได้ลงนามเมื่อวันที่6 ก.ย. และกองกำลังเมืองลา NDAA ซึ่งมีตัวแทนคือเจ้าซางเป่อรองประธานที่ 1 เจ้าแสงลา เลขาธิการ ลงนามในวันต่อมา (7 ก.ย.)

ภาพทหารกองกำลังว้า UWSA

ภาพทหารกองกำลังเมืองลา NDAA

แหล่งข่าวเผยว่านอกเหนือจากข้อเสนอสันติภาพ 4 ข้อคณะเจรจาของรัฐบาลทหารพม่าได้กล่าวระหว่างการพบหารือกันด้วยว่าให้กองกำลังทั้งสองกลุ่มดำเนินการด้านการปกครองในพื้นที่ครอบครองได้ตามปกติและว่าในส่วนที่ทั้งสองฝ่ายยังเห็นไม่ตรงกันจะให้คณะประสานงานแต่ละฝ่ายหารือและแก้ไขไปเป็นขั้นเป็นตอนขณะที่ฝ่ายตัวแทนกองกำลังเมืองลา NDAA ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องให้กองทัพพม่าถอนกำลังทหารที่รุกล้ำเข้าเขตครอบครองของตนออกไปทั้งหมดซึ่งตัวแทนรัฐบาลทหารพม่ากล่าวว่าจะนำเรื่องนี้ไปรายงานกรุงเนปิดอว์

ทั้งนี้ การพบหารือที่นำไปสู่การลงนามข้อสัญญาสันติภาพระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับกองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAAมีขึ้นหลังทางการพม่าโดยศูนย์บัญชาการกองทัพในพื้นที่เมืองยาง(อยู่ทางเหนือเมืองเชียงตุง)ได้ส่งจดหมายแสดงเจตนาสร้างสันติภาพถึงทั้งสองกลุ่มเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาโดยมีเนื้อหาระบุเชิญร่วมเจรจาสันติภาพตามกระบวนการปรองดองของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.เต็ง เส่ง

อย่างไรก็ตามการแสดงท่าทีอ่อนข้อของรัฐบาลทหารพม่าภายใต้การนำของประธานาธิบดีเต็งเส่ง ครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายต่างสับสนงุนงงไม่น้อย ขณะที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า รัฐบาลทหารพม่ากำลังเล่นบทตีสองหน้าฝ่ายหนึ่งยื่นข้อเสนอสันติภาพกับกองกำลังบางกลุ่มขณะที่อีกฝ่ายส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามกองกำลังติดอาวุธทั้งกองกำลังเอกราชคะฉิ่น KIAกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ” SSA/SSPP ซึ่งต่างมีสถานะไม่ต่างจากกองกำลังว้า UWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA คือถูกกำหนดเป็นกลุ่มนอกกฎหมายหลังปฏิเสธตั้งเป็นหน่วยพิทักษ์ชายแดน นอกจากนี้กองทัพรัฐบาลยังเปิดศึกต่อเนื่องกับ

กองกำลังกะเหรี่ยง KNU และกองกำลังSSA กลุ่มพล.ท.ยอดศึกซึ่งเป็นกลุ่มต่อสู้เรียกร้องสิทธิปกครองตนเองและไม่เคยหยุดยิงกับรัฐบาลมาก่อน

กองกำลังว้า UWSAและกองกำลังเมืองลา NDAA เป็นอดีตกลุ่มแนวร่วมพรรคคอมมิวนิสต์พม่าCPB-Communist Party of Burma เช่นเดียวกันกองกำลังเอกราชคะฉิ่นKIA และกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ”SSA/SSPP ซึ่งหลังแยกตัวออกจาก CPB ได้ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลทหารพม่าเมื่อปี 2532 (1989) อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่กลางปี 2549ได้ถูกรัฐบาลทหารพม่ากดดันให้เปลี่ยนสถานะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF(Border Guard Force) แต่หลังปฏิเสธก็ถูกกำหนดเป็นกลุ่มนอกกฎหมาย

เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมากองทัพรัฐบาลทหารพม่าได้บุกโจมตีกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ”SSA/SSPP ทำให้้ข้อสัญญาหยุดยิงที่เคยมีมากว่า 20 ปีสิ้นสุดลงจากนั้นในต้นเดือนมิถุนายน การโจมตีได้ขยายไปสู่กองกำลังเอกราชคะฉิ่น KIA มีกองบัญชาการอยู่ที่เมืองลายซา รัฐคะฉิ่น ติดชายแดนจีนจนถึงขณะนี้ทั้งกองกำลังไทใหญ่ “เหนือ” SSA/SSPP และกองกำลังคะฉิ่น KIA ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรกับกองกำลังว้าUWSA และกองกำลังเมืองลา NDAA ต่างยังคงสู้รบกับรัฐบาลทหารพม่าอย่างต่อเนื่อง

ชมภาพ / อ่านข่าวย้อนหลังได้ที่
http://www.khonkhurtai.org/

"คนเครือไท" เป็นศูนย์ข่าวภาคภาษาไทยเครือข่ายสำนักข่าวอิสระไทใหญ่ หรือสำนักข่าวฉาน (SHAN – Shan Herald Agency for News)มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในรัฐฉานสหภาพพม่า ตลอดจนตามแนวชายแดนไทย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรการเมือง /การทหารกลุ่มใด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ shan_th@cm.ksc.co.th หรือ ติดตามอ่านข่าวสารภาคภาษาอังกฤษได้ที่ www.shanland.org ภาคภาษาไทใหญ่ที่ www.mongloi.org และภาคภาษาไทยที่ www.khonkhurtai.org

ปรับปรุงบทความจาก http://www.khonkhurtai.org/index.php?option=com_content&view=article&id=1046:2011-09-11-09-00-47&catid=34:2009-11-23-07-01-45

มหิดลแซงจุฬา ขึ้นอันดับ 34 มหาวิทยาลัยเอเชีย ใน TopUniversities.com

รายงานจัดอันดับของ QS World University ซึ่งเป็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก 500 มหาวิทยาลัย โดยบริษัท Quacquarelli Symonds (QS) ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตนักศึกษาหลักสูตร MBA ชื่อ Nunzio Quacquarelli โดยบริษัทนี้ทำธุรกิจการให้บริการด้านการศึกษากับนักศึกษาและ candidate จากใน 35 ประเทศ

สำหรับรายงานการจัดอันดับมหาวิทยาลัยในเอเชียประจำปี 2554 ถูกประกาศ TopUniversities.com พบว่ามหาวิทยาลัยมหิดล ติดอันดับ 34 ด้วยคะแนน 77.09 คะแนน ในขณะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตามมาเป็นอันดับที่ 47 ด้วยคะแนน 69.90 คะแนน ทั้งนี้ใน 50 อันดับแรกของมหาวิทยาลัยเอเชีย นอกจากมหาวิทยาลัยของไทยแล้ว ยังมีอีก 4 มหาวิทยาลัยชั้นนำจากประเทศในอาเซียนติดอันดับด้วยคือ มหาวิทยาลัยจากสิงคโปร์ติดในอันดับ 3 (NUS), อันดับ 17 (NTU) มหาวิทยาลัยจากมาเลเซียติดอันดับ 39 (UM) และมหาวิทยาลัยจากอินโดนีเซียติดอันดับ 50 (University of Indonesia)

นอกจาก 50 อันดับมหาวิทยาลัยเอเชียแล้ว ยังมีมหาวิทยาลัยในประเทศไทยติดอันดับเพิ่มเติมคือ อันดับ 67 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ด้วยคะแนน 56.70 คะแนน, อันดับ 88 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ด้วยคะแนน 51.60 คะแนน, อันดับ 95 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ด้วยคะแนน 48.90 คะแนน, อันดับ 114 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ด้วยคะแนน 44.40 คะแนน, อันดับ 120 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วยคะแนน 43.20 คะแนน, อันดับ 181-190 มหาวิทยาลัยบูรพา ด้วยคะแนน 30.90 คะแนน, อันดับ 181-190 มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ธนบุรี (บางมด) ด้วยคะแนน 30.20 คะแนน

นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยในไทยอื่น ๆ ที่ติดอันดับตั้งแต่ 201 ขึ้นไป (หลังจากนี้ไม่มีการจัดอันดับอีก) ได้แก่ สถาบันราชภัฎ จังหวัดเลย, มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์, มหาวิทยาลัยแม่โจ้, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี, สถาบันราชภัฎ จังหวัดนครราชสีมา, สถาบันราชภัฎ จังหวัดอุบลราชธานี

ทั้งนี้ QS World University ได้ใช้ตัวแปรที่มีผลในการจัดอันดับคือ ชื่อเสียงของสถาบัน, ชื่อเสียงของบุคลากร, จำนวนนักศึกษานานาชาติ, จำนวนคณะที่ให้การศึกษาระดับนานาชาติ และ จำนวนอ้างอิงงานวิชาการ

อย่างไรก็ตามในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกของ QS World University ปรากฎว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกลับเป็นเพียงมหาวิทยาลัยจากประเทศไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับที่ 171 ด้วยคะแนน 50.72 คะแนน ในขณะที่มหาวิทยาลัยมลายา (UM) จากประเทศมาเลเซียติดอันดับ 167 ด้วยคะแนน 50.9 คะแนน

นอกจากนี้หากจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกในสายวิชาการด้านสังคมศาสตร์และการจัดการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยติดอันดับที่ 68 ด้วยคะแนน 27.9 คะแนน

ที่มา http://www.siamintelligence.com/mahidol-get-34-ranking-in-asia-university-ranking/

ประกาศคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์ลดหย่อนภาษีรถคันแรกแล้ว พรุ่งนี้(13 กันยายน 54)ครม.พิจารณา

หลังจากคลุมเครือมานานสำหรับผู้ที่ต้องการมีรถคันแรก ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปสำหรับผู้ที่ต้องการนำการซื้อรถไปเพื่อทำการขอคืนภาษีแต่จะคืนได้ไม่เกิน 100,000 บาท โดยในวันพรุ่งนี้คณะรัฐมนตรีจะมีการพิจารณาคุณสมบัติ ดังนี้

1. ต้องมีอายุมากกว่า 21 ปี บริบูรณ์

2. ต้องไม่เคยมีชื่อครอบครองรถยนต์ส่วนบุคคลคันอื่นๆมาก่อนหน้านี้

3.ต้องซื้อรถตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 – 31 ธันวาคม 2555 และเมื่อซื้อแล้วต้องครอบครองไม่ต่ำกว่า 5 ปี

4. ต้องเป็นรถยนต์กระบะ หรือ รถยนต์ที่มีความจุไม่เกิน 1500 c.c.

5. เป็นรถใหม่ป้ายแดงเท่านั้น

6.มูลค่ารถไม่เกิน 1 ล้านบาท

7. เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย

โดยรัฐจะคืนภาษีให้ต่อเมื่อครอบครองรถเป็นเวลาเกิน 1 ปี

ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการมีรถคันแรก SIU มองว่าการที่จะให้ซื้อเป็นรถใหม่นั้นมีผลดีในเรื่องของ การซ่อมบำรุงที่ถูกกว่า และ รถรุ่นใหม่สามารถรองรับน้ำมันแก๊ซโซฮอลล์ได้ดีกว่าด้วย แต่เป็นที่น่าสังเกตถึงการระบุว่าให้เป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศไทย อาจทำให้ผู้ที่ต้องการมีรถต้องเลือกรถที่เข้ากับเงื่อนไขนี้ ซึ่งอาจเอื้อผลประโยชน์ให้กับผู้ผลิตหลายๆราย

ที่มา http://www.siamintelligence.com/first-car/

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

Poseidon มาแทน Myung Wol The Spy (มีคลิปตัวอย่าง)

เป็นเรื่องราวของเจ้าหน้าที่พิเศษที่รักษาอธิปไตยทางน่านน้ำ และคอยดูแลความสงบเรียบร้อยบนชายฝั่งทางทะเลเกาหลีใต้ได้ "Choi Si-Won" ชอยชีวอน แห่ง Super Junior มารับบทเป็นตำรวจน้ำคิมซอนอู มาเป็นตัวชูโรง และได้นักแสดงดาวดังมากมายมาร่วมแสดง แถมยังได้ ยุนโฮ มาร่วมแจมอีกโดย "โพไซดอน" ตั้งมาจากชื่อทีมของหน่วยพิเศษนี้ อันมีหน้าที่หลักเกี่ยวข้องกับน้ำ ทั้งทางด้านความปลอดภัยของประชาชน และความช่วยเหลือต่างๆ เริ่มฉายที่เกาหลี วันจันทร์ที่ 19 กันยายน 2554(ฤกษ์รัฐประหารของเมืองไทยซะด้วย) มาแทน Myung Wol The Spy แน่ๆ

P3

P1

P5

P4

P8

  นักแสดง ซีรี่ส์เกาหลี Poseidon

Choi Si-Won แสดงเป็น Kim Shin-Woo
Lee Sung-Jae แสดงเป็น Kwon Jung-Ryool
Lee Si-Young แสดงเป็น Lee Soo-Yoon
Han Jeong-Su แสดงเป็น Oh Min-Hyuk
U-Know Yunho แสดงเป็น Kang Eun-Chul (รับเชิญ)

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

เบิ่งข้ามโขง “สะพานมิตรภาพ 3” งามตระการตา (มีคลิปวีดีโอให้ชม)

        การก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 3 คำม่วน-นครพนม แล้วเสร็จไปเกือบ 100% เป็นสัญลักษณ์ใหม่แห่งความสัมพันธ์ร่วมมือกันใกล้ชิดระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกันที่สุด และเป็นเส้นทางคมนาคม ขนส่งและการท่องเที่ยวสายใหม่เอี่ยมอ่องในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขง

        สะพานที่ก่อสร้างขึ้นด้วยความร่วมมือระหว่างไทยกับลาว และด้วยความช่วยเหลือส่วนหนึ่งของรัฐบาลญี่ปุ่นดูหรูหรา ใหญ่โตอลังการ เมื่อมองไปจากฝั่งลาวจะเห็นความโค้งของสะพานตรงที่ทอดข้ามลำน้ำโขง และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จ.นครพนม ที่กำลังก่อสร้างในขั้นตอนสุดท้าย เป็นทรงเรือนไทยประยุกต์ดูงดงามยิ่ง
       พิธีเปิดใช้อย่างเป็นทางการถือเอาเลข “11” (สิบเอ็ด) เป็นฤกษ์ดี ซึ่ง เป็นสัญลักษณ์ที่เป็นเสมือนตัวแทนความร่วมมืออันเท่าเทียมกันที่ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์ และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดในอนุภูมิภาค ทั้งด้านภาษาวัฒนธรรม อาหารการกินและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน
       มหาฤกษ์ คือ 11-11-11-11-11 หรือ วันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 เวลา 11 นาฬิกา 11 นาที
       เมืองท่าแขกเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่ดินแดนในภาคกลางตอนบนและภาคเหนือเวียดนาม ตามทางหลวงเลข 12 และทางหลวงเลข 8 ที่ตัดผ่านเขตป่ากับภูเขาหินปูนที่มีทัศนียภาพงดงาม ทางหลวงทั้งสองสายดังกล่าว ตัดเป็นแนวเฉียงเหนือ อยู่เหนือทางหลวงเลข 9 (ไกสอนฯ-แดนสะหวัน-ลาวบ๋าว) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยมีสะพานมิตรภาพ 2 เป็นต้นทาง
       ท่าแขกยังถูกกำหนดให้เป็นจุดเชื่อมต่อทางรถไฟจากเวียงจันทน์ ไปยังเวียดนามในอนาคต ปลายทางอีกด้านหนึ่งคือ ท่าเรือหวุงอ๋าง (Vũng Áng) ที่ริมฝั่งทะเลจีนใต้ใน จ.ห่าตี๋ง (Hà Tĩnh) เวียดนาม

ภาพข้างบนคือสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทางฝั่งไทยเป็นอาคารทรงไทยประยุกต์หน้าจั่วหลายชั้นดูงามตระการตา บนสุดเป็นยอดเจดีย์พระธาตุพนมสัญลักษณ์ของจังหวัดนครพนม การก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ เหลือเวลาอีก 2 เดือนเศษก็จะถึงเวลาเปิดใช้อย่างเป็นทางโดยถือเอามหาฤกษ์ 11-11-11-11-11 เป็นสะพานมิตรแห่งที่ 3 ระหว่างสองประเทศที่ประชาชนมีความใกล้ชิดกันมากที่สุดและคล้ายกันในหลายๆ ด้าน ทั้งการนับถือศาสนา ภาษาพูด อาหารการกินและวิถีการดำรงชีวิต

ภาพทั้งหมดต่อไปนี้นำเสนอโดยเว็บบล็อกสมาคมลาว โดยมองจากฝั่งเมืองท่าแขกเมืองเอกของแขวงคำม่วน และ ฝั่ง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนมของไทย

อาณาบริเวณด้านหน้าของอาคารทรงไทยประยุกต์ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของไทยกำลังอยู่ระหว่างการปรับภูมิทัศน์เช่นเดียวกันกับการก่อสร้างอาคารซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างสุดท้ายของโครงการ อีก 2 เดือนเศษก็จะเปิดใช้อย่างเป็นรทางการ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ระหว่างไทยกับลาว

ภาพถ่ายจากบนสะพานที่สร้างแล้วเสร็จ มองเห็นการก่อสร้างอาคารสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ใกล้แล้วเสร็จเต็มที่ นับจากวันนี้เหลือเวลาอีกเพียง 1 เดือนกับ 11 วันพอดีก็จะถึงกำหนดเปิดใช้อย่างเป็นทางการ เป็นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ระหว่างลาวกับไทยจากทั้งหมด 4 แห่ง

มองไปจากเชิงสะพานอีกด้านหนึ่งจะเห็นอาคารสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปรากฏเป็นสีขาวโพลนโดดเด่นอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำโขง อาคารสำนักงานเป็นสิ่งปลูกสร้างสุดท้ายของโครงการ เหลือเวลาอีก 2 เดือนกับ 11 วัน ก็จะเปิดใช้สะพานอย่างเป็นทางการโดยถือเอามหาฤกษ์ 11-11-11-11-11

เชิงสะพานมิตรภาพนครพนม-ท่าแขก (แขวงคำม่วน) ตั้งอยู่ในเขตนอกเมือง ถัดจากนี้ออกไปไม่ไกลทางฝั่งลาวกำลังจะกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งใหม่ "ท่าแขกแดนคำ" การขนส่งสินค้าจากโรงงานในแถบนี้จะไปรวมศูนย์อยู่ที่ท่าเรือใหญ่แห่งใหม่ใน จ.ห่าตี๋ง ของเวียดนาม

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทางฝั่งลาวก็ไม่ต่างกัน โชว์ศิลปะแห่งชาติอย่างเต็มที่ บนยอดอาคารไม่น่าจะเป็นอย่างอื่นไปได้นอกจากยอดเจดีย์พระธาตุหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของลาวลาว การก่อสร้างโดยรามคืบหน้าไปไกลกว่าทางฝั่งไทยอย่างเห็นได้ชัด

สะพานตั้งอยู่นอกเขตเมืองทั้งสองฝั่งแต่ยังมองเห็นชุมชุนที่อยู่ใกล้ที่สุดทางฝั่งลาว และมีภูเขาหินปูนแห่งเมืองคำม่วนอยู่เบื้องหลัง เป็นภูมิทัศน์ที่ดูงดงามตระการตา

ภาพแบบแปลนของสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 ที่ทอดข้ามลำน้ำโขง มองจากฝั่ง จ.นครพนม เห็นภูเขาหินปูนของเมืองท่าแขกอยู่เบื้องหลัง เป็นภูมิทัศน์อันงดงามตระการตา ของจริงก็ไม่ได้แตกต่างกัน

ทุกสิ่งทุกอย่างบนสะพานซึ่งอยู่ระหว่างการตกแต่งในขั้นตอนสุดท้าย ล้วนเป็นศิลปะประยุกต์ "ทปล- ไทยปนลาว" แสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างประชาชนสองชาติ

คลิปวีดีโอข้างบนเป็นการชี้แจงความเป็นมาของโครงการสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขง แห่งที่ 3 นครพนม-คำม่วน

ความคืบหน้าของการก่อสร้างทางขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 หรือ สะพานมิตรภาพ ไทย - ลาว ( นครพนม - คำม่วน ) เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2553 ขอขอบคุณคลิปวีดีโอขอ leknkp ใน Youtube ด้วย